“ความจำเป็นของ AD คือ การที่สื่อต้นฉบับยังไม่สามารถอธิบายให้คนตาบอดเข้าใจได้มากพอ จึงต้องมี AD ขึ้นมา นอกจากนั้นแล้วหน้าที่อีกอย่างของ AD คือทำให้เราพูดคุยกับสังคมในเรื่องเดียวกันได้ เช่น พอเพื่อนหรือครอบครัวของเราพูดถึงละคร ซีรีส์ หรืออะไรที่มันแมส กำลังเป็นเรื่องดังในกระแส แต่ว่าคนตาบอดก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง AD จะเข้ามาช่วยตรงนี้ด้วย ทำให้ช่องว่างระหว่างคนตาดีกับคนตาบอดลดลง”
อมีนาอธิบายเพิ่มเติมถึงความสำคัญของ AD หรือบริการเสียงบรรยายภาพ คำตอบของเธอช่วยไขความกระจ่างในเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพราะสำหรับคนที่อาจสงสัยว่า AD จะต่างจากการฟังละครวิทยุ หรือแม้แต่ฟัง Podcast ในปัจจุบันอย่างไร คำตอบคือ AD ทำให้ผู้พิการทางสายตาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสื่อต่างๆ ที่ทันยุคทันเหตุการณ์ไปพร้อมๆ กับคนในครอบครัวหรือสังคมส่วนใหญ่ นอกจากนั้นสำหรับผู้พิการกลุ่มสายตาเลือนรางที่ยังพอมองเห็นอยู่บ้าง AD จะทำให้การรับชมสื่อโทรทัศน์มีความเข้าใจและเพิ่มอรรถรสได้มากขึ้น
การตระหนักถึงความสำคัญของ AD ในประเทศไทย เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2557 โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ริเริ่มสนับสนุนในเรื่องนี้ เช่น มีการฝึกอบรมเรื่อง AD ภายใต้หลักสูตร “ผู้บรรยายสำหรับการจัดทำบริการเสียงบรรยายภาพ” โดยความร่วมมือของมูลนิธิคนตาบอดไทย ร่วมกับ Audio Description Associates แห่งอเมริกา นอกจากนั้นยังได้มีการพัฒนาด้านวิชาการและการผลิต AD คู่ขนานกันไปในระยะแรก โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จนค่อย ๆ กระจายไปสู่สถาบันการศึกษาและช่องสถานีอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่สามารถผลักดันให้แต่ละช่องสถานีเกิดการผลิต AD ได้ตามสัดส่วนเวลาที่ กสทช.ได้กำหนดไว้ จนทำให้เกิดการเลื่อนและผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แม้กระทั่งไทยพีบีเอสซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะซึ่งมีนโยบายค่อนข้างสอดคล้องกับภาครัฐ ปัจจุบันยังมีขอบเขตของการให้บริการ AD ได้เพียงบางรายการ รวมทั้งช่วงเวลาในการออกอากาศยังไม่สอดคล้องกับการรับชมของผู้พิการทางสายตา จนทำให้พวกเขาเลือกที่จะเปิดรับสื่อออนไลน์มากกว่า ตามที่อมีนาได้สะท้อนไว้ว่า
“ปัจจุบันที่ดูอยู่คือ AD ที่อยู่ใน Netflix ซึ่งมีเยอะขึ้น แต่ไม่ได้มีทุกเรื่อง อย่างเราอยากดูซีรีส์บางเรื่องของต่างประเทศก็ไม่มี AD เพราะเค้าทำเป็นออริจินัลของเค้า แต่ถ้าเป็นหนังไทยของบ้านเราเอง ก็มี AD ให้ ส่วน AD ของไทยในรายการโทรทัศน์ จะเป็นรายการรีรันส่วนใหญ่ ซึ่งเราดูไปแล้ว เราก็จำได้ เลยไม่ได้อยากดูซ้ำ นอกจากนั้นรายการยังไปอยู่ช่วงเที่ยงคืนตีหนึ่ง ซึ่งเราก็หลับไปแล้ว”
เรื่องนี้ พัชรากร สมศรีฝ่ายพัฒนาผลผลิตเนื้อหา ของสำนักสร้างสรรค์เนื้อหาของไทยพีบีเอสได้อธิบายถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ของทางสถานีว่ากระบวนการผลิต AD นั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ทั้งการเขียนบท ลงเสียงพากย์ และผ่านกระบวนการเซ็นเซอร์ต่างๆ ซึ่งต่างจากบริการ CC ซึ่งจะมีความเรียลไทม์มากกว่า จึงทำให้การเลือกรายการเพื่อผลิต AD ไม่สามารถทำได้สอดคล้องกับเวลาที่ออกอากาศจริง
“ในการพิจารณาทำ AD รายการที่เราเลือกมาคือรายการที่เราออกอากาศไปแล้ว เพราะถ้าเราเลือกรายการที่เป็น First run แล้วขึ้น AD และCC พร้อมกัน มันค่อนข้างที่จะทำได้ยาก ดังนั้นหลักเกณฑ์คือ หนึ่งเป็นรายการรีรัน แล้วจากนั้นจึงนำมาพิจารณาตามหลักเกณฑ์การผลิต AD ว่ามี Sound gap ที่พอต่อการการเขียนเสียงบรรยายภาพได้ไหม ถ้าได้ถึงส่งเขียน ตอนนี้รายการที่เราผลิตตามผังคือ “ข.ขยับ” (รายการออกกำลังกาย) ออกอากาศเช้ากับเย็น แล้วก็มีรายการที่มี AD อีกทีตอนช่วงเที่ยงคืน ซึ่งเป็นรายการรีรัน”
นอกจากนั้น ข้อจำกัดในการผลิต AD ของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ยังติดขัดในเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิต บุคลากร ความพร้อมของแต่ละสถานีที่แตกต่างกัน ไปจนถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่อง AD โดยเรื่องนี้ ตรี บุญเจือ ผู้อำนวยการสำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภค ของสำนักงาน กสทช. ได้ให้มุมมองในเชิงนโยบาย โดยเน้นในการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ผลิตสื่อช่องต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิของพลเมืองซึ่งผู้พิการเป็นหนึ่งในความหลากหลายนั้น
“คืองานของกสทช.มีสองด้าน คือด้านบรอดแคสท์กับด้านโทรคมนาคม ซึ่งด้านโทรคมนาคมก็พูดถึงเรื่องการเข้าถึงของคนพิการเหมือนกัน แล้วกสทช.มีโครงการที่เรียกว่า USO (Universal Service Obligation) ซึ่งเป็นแผนของด้านโทรคมนาคม ซึ่งมีทั้งแผนด้านการตั้งศูนย์อินเตอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล การซัพพอร์ทศูนย์เดซี(Daisy)ของคนตาบอด และศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (TTRS) สำหรับผู้พิการหูหนวกให้วิดีโอคอลเข้าไปสอบถามข้อมูล ซึ่ง กสทช.สามารถที่จะมีโครงการนี้อยู่ในยูนิเวอร์แซลได้ เราอาจจะต้องเข้าไปคุยกับ USO หรือในกระบวนการของบอร์ดชุดใหม่”
ตรียังเสริมในเรื่องของแนวคิดในการตั้งศูนย์ AD และ CC โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นโมเดลของประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบ Public Service แต่เมื่อสำรวจบริบทที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พบว่าได้มี Business Model ของอุตสาหกรรมการผลิต AD เกิดขึ้นแล้ว รวมทั้งห่วงโซ่อุปทานต่างๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต AD ดังนั้นการเข้าไปแทรกแซงของภาครัฐในการทำอุตสาหกรรมนี้ อาจถูกตีความได้ว่า กสทช. เข้าไปแข่งขันกับผู้ประกอบการในการผลิตเอดี
“บางเรื่องเราจะมองในมิติของ Public Service อย่างเดียวไม่ได้ เพราะอาจจะกระทบกับอุตสาหกรรมในภาพรวมหลายอย่าง แต่สิ่งที่จำเป็นผมมองว่าถ้าจะให้ยั่งยืนต้องประกอบกันหลายอย่างมาก ต้องมีคนที่เข้ามาแล้วสามารถประกอบอาชีพนี้ได้ บริษัทที่ผลิต AD อาจจะทำบริการ 3 อย่างครบเลย หรืออาจจะเป็นโปรดัคชั่นเฮาส์รับผลิตรายการ แต่มีทักษะของการผลิต Ad ด้วย สิ่งที่รัฐจะเข้าไปช่วยคือการพัฒนาคน พัฒนาองค์ความรู้ การมีศูนย์อย่างไรที่ไม่ทำให้คนที่ทำงานอยู่แล้ว หรือผู้ที่รับจ้างทำงานตรงนี้ ไม่เดือดร้อน”
การปรับตัวเพื่อให้มี AD ในสื่อออนไลน์นั้นล่าสุดไทยพีบีเอสได้พยายามผลักดันในเรื่องนี้ โดยพัชรากรได้ให้ข้อมูลว่า ไฟล์หลักที่ใช้งานในส่วนการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ จะส่งต่อให้ศูนย์ New Media ที่ดูแลในส่วนของออนไลน์ เพื่อขยายช่องทาง AD ให้ไปสู่ยูทูป หรือช่องทาง OTT ผ่านแอปพลิเคชัน VIPA ของทางสถานี นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่ AD จะมีความเรียลไทม์มากขึ้นด้วยโปรแกรมที่กำลังถูกคิดค้นขึ้นโดยบริษัทกล่องดินสอ ผู้ผลิตแอปพลิเคชัน “พรรณนา” ซึ่งเป็นแอปที่ให้บริการ AD มาก่อนหน้านี้
“เขากำลังพัฒนาโปรแกรมอยู่ ต่อไปเราอาจจะแค่เขียนบทลงไปในซาวด์แก็ป แล้วมีเสียงพากย์เป็น AI บริษัทเขาเน้นรายการที่หมุนเร็ว คือเป็นรายการที่ให้มีบริการ AD อย่างรวดเร็ว โปรแกรมนี้จะคำนวณซาวด์แก็ปออกมาเลยว่าการบรรยายเกินจำนวนเวลาที่ว่างอยู่รึเปล่า เมื่อนำคลิปมาลงโปรแกรม มันจะ generate ให้ทั้งหมด”
สุดท้ายแล้วสำหรับฝั่งของผู้รับสารอย่างอมีนา นอกจากปัญหาต่างๆ ในระดับนโยบาย และเรื่องการเข้าถึง AD ไม่ว่าจะเป็นสื่อใหม่หรือสื่อเก่า เธอมองลึกไปถึงต้นตอของเรื่องนี้ ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้บริการ AD เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและครอบคลุมความต้องการของผู้พิการทางสายตาในสังคมไทยได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนกันตั้งแต่ระดับทัศนคติ ซึ่งนั่นเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันสื่อได้อย่างแท้จริง