‘สารหนู’ ไม่ไหลกลับ เศรษฐกิจหลับใหล - Decode
Reading Time: 4 minutes

ความเจ็บปวดบางอย่างอาจทิ้งแผลฝังลึกเอาไว้ เช่นเดียวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำกกยังหลงเหลือให้เห็นซากปรักหักพังของบ้านเรือน รีสอร์ท ตลอดสองฝั่งแม่น้ำกก ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากพายุยางิเมื่อปลายเดือนกันยายน 2567 บางรีสอร์ททิ้งร้าง รอการซ่อมแซม ฟื้นฟู  มาวันนี้ถูกซ้ำเติมอย่างหนักจากพิษ ‘สารหนู’ ข้ามพรมแดน สีที่ขุ่นข้นของแม่น้ำกกในฤดูน้ำหลากเช่นนี้ จึงเสมือนเครื่องบันทึกความเจ็บปวดซ้ำซากของผู้คน สิ่งแวดล้อม และสายน้ำกำลังจมดิ่งในความรุนแรงที่มองไม่เห็น 

ยิ่งเป็นหมู่บ้าน ‘ไกลปืนเที่ยง’ ตามนิยามของความห่างใกล้เชียงรายมากกว่าเชียงใหม่ ด้วยระยะทาง 96.9 กิโลเมตรจากตัวเมืองเชียงราย เราเดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางถนนแม่จัน-ฝาง บางขณะดินสไลด์ถนนขาดบางช่องจราจร ‘ถึงแล้ว’ บ้านแก่งทรายมูล ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ซึ่งติดกับประเทศเมียนมาโดยมีแม่น้ำกกเป็นแนวพรมแดน ในอดีตเป็นจุดสิ้นสุดทางหลวงแผ่นดินถ้าจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงรายจะต้องนั่งเรือหางยาวล่องไปตามแม่น้ำกกใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว  

“แก่งกลางแม่น้ำกก เป็นที่มาของชื่อบ้านแก่งทรายมูล เมื่อก่อนจะมีทรายสีขาวเลย แต่ตอนนี้ที่เห็นนี่ไม่ใช่ทรายนะ โคลนทั้งนั้นเลย”

เราเลี้ยวตามป้ายบอกทาง ‘ท่าตอน การ์เด้น รีสอร์ท’ บ้านพักหลายหลังสร้างให้กลืนไปกับสวนลิ้นจี่ที่กำลังออกผลพร้อมให้เก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วัน พี่สามารถ พลูเกตุ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแก่งทรายมูล และในอีกฐานหนึ่งคือเป็นผู้ประกอบการรีสอร์ทในพื้นที่ท่าตอน พาเราย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน อาชีพตั้งต้นของพี่สามารถคือการประกอบกิจการจากซุ้มแพอาหาร ก่อนจะต่อยอดไปเป็นห้องพัก ร้านอาหาร รวมไปถึงสวนลิ้นจี่ในพื้นที่รวมกันประมาณ 8 ไร่ นี่คือผลลัพธ์ของการย้ายถิ่นทำกินจากเพชรบุรีมาลงหลักปักฐาน สร้างตัว ในท่าตอนเกือบ 30 ปี จนกลืนไปกับคนเมือง ภาษากำเมือง และอาหารการกินพื้นเมืองที่มีครอบครัวและอาชีพไม่ต่างกับชาวบ้านท่าตอนอีกหลายหมู่บ้านที่มีอาชีพบริการซุ้มแพเป็นรายได้หลัก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ล่องแพเดินทางไปยังเชียงราย ซึ่งมีจุดแวะท่องเที่ยวตามสองฝั่งแม่น้ำเพื่อรองรับไฮซีซั่นช่วงฤดูหนาวในเดือนตุลาคม – มกราคม และกลับคึกคักอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี  

รายได้ที่เคยไหลเข้าหลักหมื่นต่อวัน คือเงินทุนสำรองสำหรับชาวบ้าน เพราะหากหมดฤดูกาลท่องเที่ยว ก็ยังสามารถหันไปประกอบอาชีพเกษตรกร รับจ้างทั่วไปในพื้นที่ ถึงไม่ได้เป็นเงินมากมาย แต่ก็เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้โดยไม่ติดลบ

“พอน้ำท่วมมา … มันพังไปหมดเลย ยิ่งมาเจอสารหนูปนเปื้อนเข้าไปอีก มันเงียบสนิท”

ประโยคที่ปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะขมในลำคอของพี่สามารถ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นความ ‘พัง’ ที่ซัดเข้ามากระทบผู้ประกอบการในอำเภอท่าตอนเป็นระยะ บ้านพักกว่า 20 หลังของพี่สามารถ คือหนึ่งในห้ารีสอร์ทของอำเภอแม่อาย ที่อดีตเคยรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 300 – 400 คนต่อวันเมื่อหลายสิบปีก่อน สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจ ‘ทัวร์บ้าน’ เดินทางด้วยรถบัสสายท่าตอน – กรุงเทพ  นั่งแพเพื่อไปจุดหมายต่อไปในจังหวัดเชียงราย หรือ ‘ทัวร์ป่า’ ที่ตั้งใจมาใช้ชีวิตกลับกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ในพื้นที่ หรือไม่ ก็จะแวะเวียนมาแบบ ‘วันเดย์ทริป’ เป็นเพียงจุดแวะพักสั้น ๆ ก่อนเดินทางต่อไปยังอำเภอรอบข้าง 

แม้อำเภอท่าตอนจะเป็นแห่งแรก ๆ ของการเริ่มประกอบกิจการแพท่องเที่ยว ด้วย ‘จุดขาย’ เส้นทางท่องเที่ยวต่อไปยังเชียงราย ได้สัมผัสการใช้ชีวิตบนแพด้วยการเดินทางตลอดสามวัน แต่การขยายตัวของแพท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ – เชียงราย ที่เพิ่มตัวเลือกให้กับนักท่องเที่ยว ใช้ระยะเวลาและเส้นทางที่สั้นกว่า การจะมาล่องแพที่อำเภอท่าตอน จึงต้องอาศัยความตั้งใจเดินทางมากกว่าจะเป็นแค่จุดแวะพักท่องเที่ยวในระยะสั้น การตั้งรับจุดเปลี่ยนนี้ สำหรับพี่สามารถ คือการหันมาลงทุนทำที่พักรีสอร์ท ร้านอาหารรองรับนักท่องเที่ยวในสวนผลไม้ที่มีอยู่เดิมซึ่งอยู่ติดกับริมน้ำกก แลนด์มาร์คของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไม่ขาด

คลื่นระลอกแรก คือสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 ที่ชะงักการเดินทางให้หยุดนิ่งไปมากกว่าสองปี ฝังรากความซบเซาของเศรษฐกิจที่ยังไม่ถูกฟื้นคืนให้กลับมา ที่พักที่เคยขึ้นมาเป็นรายได้หลักแทนซุ้มแพของพี่สามารถ ก็มีรายได้เข้ามาเหลือเพียงหลักพันบาทต่อวัน แน่นอนว่าสิ่งนี้ผลักให้หมู่บ้านไกลปืนเที่ยงอยู่ห่างจากความนึกคิดของนักท่องเที่ยวออกไปมากยิ่งขึ้น การปรับตัวของชาวบ้านคือการหาช่องทางรายได้ที่ไม่หวังพึ่งแค่เพียงการทำซุ้มแพท่องเที่ยว แต่ยังรวมไปถึงการประกอบอาชีพเกษตรกรปลูกพริก มะม่วงน้ำดอกไม้พันธุ์สีทอง ลิ้นจี่ และที่สำคัญ คือต้องอาศัยน้ำกกในการหล่อเลี้ยงชีวิตและพืชผลให้เติบโต

‘สามารถ’ โต้คลื่นระลอกสาม เหลือแต่ตอไผ่ริมฝั่ง

9 กันยายน 2567 น้ำกกขึ้นสูงไม่มีลดลง คลื่นระลอกสอง คือพายุฤดูร้อนยางิ ที่ได้ชื่อว่ามีกำลังแรงเป็นอันดับ 2 ของบรรดาพายุที่พัดเข้ามาในปีนั้น ส่อเค้าไม่ดีว่ามวลน้ำอาจเข้าท่วมในหมู่บ้านที่ไม่เคยเผชิญภัยพิบัติมาก่อน สัญญาณเตือนภัยที่เงียบสนิท ไม่ได้ทำให้ชาวบ้านคลายความกังวล แต่ก็ทำไม่ได้มากไปกว่าการย้ายของบางส่วน ก่อนระดับน้ำจะขึ้นสูงจนพังทลายบ้านพักริมน้ำของพี่สามารถจำนวน 3 หลัง ไหลลงไปในสายน้ำพร้อมกับคันดิน ที่ทำให้พื้นที่ริมน้ำของรีสอร์ทหายไปกว่า 1 ไร่ ตัวบ้านที่ถูกพัดไป คือจุดดึงดูดของรีสอร์ทที่ลงทุนไปกว่า 5 ล้านบาท ไม่นับรวมกับพื้นที่ริมน้ำที่ประเมินค่าไม่ได้สำหรับพี่สามารถ เหลือทิ้งไว้เพียงความกังวลว่าหากน้ำในฤดูฝนมาอีกครั้ง ความกว้างของแม่น้ำที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้ทิศทางสายน้ำกกเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด  

เดิมทีหลังหมดฤดูการท่องเที่ยว ชาวบ้านจะรื้อโครงสร้างของแพออกก่อนช่วงน้ำขึ้นในฤดูฝน เพื่อไม่ให้โครงสร้างของแพทรุดโทรมไปกับสายน้ำ บำรุงซ่อมแซมเพื่อใช้งานในปีต่อไปได้ง่ายขึ้น ในเดือนเมษาที่ตลอดฝั่งริมน้ำกกควรจะเต็มไปด้วยซุ้มแพที่ชาวบ้านแก่งทรายมูลเตรียมไว้สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยว 

“ภาพจำของชาวบ้าน น้ำกกมันจะมีทราย ช่วงทั่วไปน้ำจะใสมากจนเรามองเห็นทรายที่เป็นตะกอนอยู่ใต้น้ำ ต่อให้หน้าฝน น้ำก็จะขุ่นอยู่แค่สามสี่วัน จนน้ำท่วมพัดโคลนมาปีที่แล้ว น้ำก็ไม่เคยใสอีกเลย” 

เมื่อเจอพิษ ‘สารหนู’ ภาพในปีนี้กลับเหลือแต่ตอไม้ไผ่ริมฝั่งแม่น้ำกก ผู้ประกอบการบางเจ้าที่ต่อแพไว้ก็ปล่อยทิ้งร้าง เหลือเพียงป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวที่รอคอยอย่างสิ้นหวัง นี่คือคลื่นระลอกสามของสายน้ำกก ที่พี่สามารถสะท้อนว่าทุกชีวิตที่อยู่กับสายน้ำต้องหลับสนิท เฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวในท่าตอนก็ปิดตัวลงไปสองในห้าแห่ง

ส่วนผู้ประกอบการที่เหลือ ก็อยู่ในสภาวะเดียวกันกับพี่สามารถ คือ กิจการต้องหยุกชะงักเพราะขาดนักท่องเที่ยว แม้ที่พักแห่งนี้จะพร้อมกลับมาเป็นจุดหมายการเดินทางของใครหลายคนอีกครั้ง พี่สามารถก็มองว่า เราต้องปรับตัวตลอด ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังไม่เบาบางลง และมีทีท่าว่าจะ ‘เจ็บหนัก’ เพราะต้องพึ่งพาสายน้ำ ในวันที่แม่กกเปื้อนพิษ

แกะรอย ‘สารหนู’ กก-โขง โยงเหมืองทองเมียนมา 

เมื่อชีวิตต้องประ ‘สบ’ พิษ 

“ตะกั่วมีแต่น้อยมาก ส่วนมากที่ตรวจพบจะเป็น สารหนู 

ถ้าฟันธงจากค่าที่เราตรวจเจอนั้นมาจากเหมืองทองคำแน่ ๆ แต่ยังไม่พบสารกัมมันตรังสี สอดคล้องกับภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จาก GISTDA ก็พบว่า มีการทำเหมืองเปิดหน้าดิน กระจายอยู่ 3-4 จุด ซึ่งชัดเจนว่ามาจากเหมืองแร่ทองคำ” ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) ตั้งข้อสังเกตุพลางชี้พิกัดให้ De/code ดูจุดตรวจคุณภาพน้ำที่ผิดสังเกตุมาตั้งแต่กลางปี 2566 เริ่มพบว่ามีค่าสารหนู ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่พบมาก่อน ก่อนชี้ให้ดูจุดตรวจวัด KK01 (บริเวณใกล้แนวพรมแดนไทย-เมียนมา) โดยอธิบายลักษณะของสารหนูที่พบนั้นเราเรียกว่าเป็นเพื่อนแร่ มักอยู่รูปของตะกอนแขวนลอย เราพบทั้งสารอินทรีย์และอนินทรีย์ที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้

หลังจากพบสารหนู ในช่วงกลางปี 2566 แล้วก็หายไป ก่อนตรวจพบสารหนูอีกครั้งเมื่อปี 2567 กระทั่งกุมภาพันธ์ปี 2568 เป็นต้นมา คพ.พบสารหนูเกือบทุกจุดที่มีการตรวจพบในครั้งแรก 

ปรียาพร เล่าต่อไปว่าในตอนนั้นคิดแล้วว่าน่าจะมาจากการทำเหมือง จึงได้ขอภาพถ่ายทางอากาศจาก GISTDA รวมถึงสื่อต่าง ๆที่มีการรายงานสาเหตุ คพ.จึงเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำเพิ่มขึ้นจากฝายเชียงรายมาจนถึงแม่น้ำโขง กลายเป็น 15 จุดตรวจคุณภาพน้ำ ซึ่งได้มีการตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำสาขาด้วย เช่น แม่น้ำแม่อาย แม่น้ำสรวย แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว พบว่า ไม่มีค่าสารหนูเลย ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่า สารหนูไหลมาจากต้นทางแม่น้ำกกมาจนถึงแม่น้ำโขง

ล่าสุด คพ. เพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำที่แม่น้ำสายอีก 3 จุด เพราะแม่น้ำสายก็มีความขุ่นคล้ายกันกับอ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เช่นเดียวกับแม่น้ำโขงที่คพ.ได้เพิ่มจุดตรวจวัดเพิ่มอีก 3 จุด และแม่น้ำรวกอีก 2 จุดทำให้ขณะนี้มีจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำแล้วทั้งหมด 24 จุด เพื่อให้ครอบคลุมลำน้ำทั้งหมดและเป็นการยืนยันได้ว่าสารหนูนั้นมาจากการทำเหมืองทองในเมียนมา 

“ตอนนี้คนที่จับปลา เขาก็จะขึ้นไปจับที่แม่น้ำฝาง ไม่มีใครกล้าลงน้ำจับปลา หรือใช้น้ำในน้ำกกแล้ว” พี่สามารถ พูดระหว่างพาเราล่องเรือทวนกระแสน้ำไปยัง ‘สบฝาง’ ตามคำบอกเล่าของคนแก่งทรายมูลที่บอกว่า ‘สบ’ หมายถึงการพบเจอ บรรจบกันระหว่างสองสิ่ง จุดนี้คือบริเวณปลายน้ำฝางมาบรรจบกับแม่น้ำกก ตลอดสองข้างทางยังมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างการดูดทรายจากตะกอนแม่น้ำด่านล่าง เพื่อขนส่งไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น หรือแม้แต่ผลมะม่วงยังคงถูกห่อด้วยกระดาษอย่างพิถีพิถัน ใกล้จะได้ขายแล้วนะ พี่สามารถสำทับ นับเป็นความโชคดีในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่พี่สามารถและชาวบ้านแก่งทรายมูลใช้น้ำอุปโภคจากบ่อบาดาล รวมไปถึงน้ำประปาภูเขาภายในหมู่บ้าน ที่ได้รับคำยืนยันจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ. ที่ 1) ว่าน้ำประปายังใช้งานได้โดยที่ค่าสารโละหนักไม่เกินมาตราฐาน ยังพอต่อเวลาให้การทำไร่ทำสวนยังทำเป็นอาชีพที่สร้างรายได้อีกทางนึง  

ตามมาด้วยการลงทุนซื้อเครื่องกรองน้ำก็เป็นการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าของชาวบ้านแก่งทรายมูล และก็เป็นการ ‘จ่าย’ ที่มีต้นทุน เพื่อซื้อความสบายใจ เพราะชาวบ้านยังไม่มั่นใจเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอยู่ดี แม้ไม่ได้เป็นคำแนะนำโดยตรงจากรัฐถึงแนวทางการบริโภคน้ำที่ปลอดภัยก็ตาม 

ณ จุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย สองสี ที่มองได้ด้วยตาเปล่าก็พอมองเห็นได้ว่า น้ำฝางที่ไหลลงมารวมกันนั้นมีความใสมากกว่าแม่น้ำกกที่ขุ่นข้นและปนเปื้อนไปด้วยสารหนู แน่นอนว่า นอกจากตะกอนโคลน และสารโลหะหนักในสายน้ำ แม่น้ำกกเกี่ยวพันไปกับชีวิตของผู้คน และระบบนิเวศทั้งหมด ตลอด 285 กิโลเมตรที่แม่น้ำกกไหลผ่าน คือสายเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำเนินต่อไป 

 

“มันเป็นแม่น้ำสายเลือดใหญ่ เป็นหัวใจของคนในจังหวัดเชียงราย

คำเปรียบเปรยที่แม่รัตนัย โสภารัตน์ เกษตรกรปลูกข้าวใน อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย นิยามและให้ความสำคัญกับเส้นเลือดใหญ่สายนี้เพราะผืนนาของแม่รัตรับน้ำกกจากการผันน้ำของฝายเชียงราย เดิมทีคือความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เกษตรเวียงเชียงรุ้งที่สามารถทำการเพาะปลูกข้าวปีละสองรอบ มาวันนี้ชาวนาต้องช่วยกันปิดการไหลเข้าของน้ำกกทำให้คลองส่งน้ำข้างผืนนาแห้งขอด 

นาข้าวของแม่รัตยังรอการหว่านข้าว นับตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่าสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก โดยเฉพาะในเวลานี้ที่กรมชลประทานควรจะผันน้ำต่อไปยังคลองสาขาเพื่อให้อำเภอโดยรอบของลุ่มน้ำกกได้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคและการเกษตร แม่รัตบอกว่าโดยทั่วไปเมื่อถึงช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี จะมีกลุ่มบริษัทปุ๋ยเข้ามาเสนอขายปุ๋ยบำรุงก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงที่ข้าวออกรวง แต่ปีนี้บริษัทเหล่านั้นไม่ได้มาเสนอปุ๋ยในเหมือนกับทุกปี ซึ่งแม่รัตคิดว่าเป็นเพราะทางตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยรู้ว่า ชาวนาหว่านข้าวไม่ได้ 

สำหรับแม่รัตที่ต้องมาเฝ้าดูระดับน้ำในฝายเชียงรายด้วยความคุ้นชินที่เคยทำงานเป็นเสมียนของกรมชลประทานที่ดูแลการผันน้ำ ก่อนจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดเชียงราย อีกด้านหนึ่งทำให้แม่รัตมองเห็นภาพผลกระทบในวงกว้างกว่าตนเองที่เป็นเกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้น้ำ ทั้งยังเห็นไปถึงความเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไปของชาวประมงที่เคยมาจับปลาตามฝาย หรือแม้แต่ชาวนาที่เคยดูแลนาข้าวเต็มท้องทุ่ง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องราวในอดีตและความทรงจำเมื่อวันวานที่เคยเป็นชีวิตปกติของเกษตรกรก่อนสายน้ำจะเปื้อนสารหนู

หลังเข้าสู่ฤดูฝนมาไม่นาน ตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ฝนมากกว่าปกติ  อธิบดีคพ.ตั้งข้อสังเกตุว่าในจุดตรวจวัด KK10 (บริเวณฝายเชียงราย) มีค่าสารหนูสูงเกินมาตรฐาน แต่หลังจากฝายเชียงรายเป็นต้นไปจนถึงแม่น้ำโขง กลับพบค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน ก็แสดงให้เห็นว่า ฝายเชียงรายเป็นตัวดักตะกอนไว้ อาจจะช่วยชะลอความเร็วของน้ำทำให้น้ำตกตะกอน เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ข้อเสนอให้มีการก่อสร้างเพื่อดักตะกอน แต่หลังจากนั้น ฝายเชียงรายต้องดึงประตูระบายน้ำขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของน้ำไม่ให้เกิดอุทกภัย น้ำจึงผ่านเร็วมาก และพัดพาตะกอนดินไปด้วย การตรวจวัดคุณภาพน้ำจึงพบว่า มีค่าสารหนูเกินมาตรฐาน ตั้งแต่ KK11 (หลังฝายเชียงราย) เป็นต้นไป 

เมื่อเข้าฤดูน้ำหลากเราอาจพบค่าสารหนูมีมากขึ้นมากกว่าฤดูอื่น เป็นสิ่งที่คพ.ตรวจเจอล่าสุด เช่นเดียวกับ “ตะกอนดิน” ที่พบค่าสารหนูเกินมาตรฐาน

“มันอยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน 33 มิลลิกรัมต่อลิตร มันก็มีผลกระทบต่อไปยังสัตว์น้ำด้วยเพราะมันเป็นห่วงโซ่อาหารที่อาจจะมีผลกระทบต่อประชาชนได้ ซึ่งก็สอดคล้องกับกรมอนามัยที่แนะนำว่าเราไม่ควรกินปลาที่มาจากแม่น้ำกก จึงเป็นเรื่องที่ว่าทำไมผลการตรวจวัดทั้งหลายถึงช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปออกมาตรการป้องกัน เตือนภัย และให้คำแนะนำกับประชาชน” ปรีญาพร กล่าว

กระทบต่อมนุษย์ด้วยหรือไม่ – ผู้สื่อข่าวถาม

อธิบดีคพ. ยอมรับว่าหน่วยงานที่ตรวจวัดด้านสุขภาพคือสธ.กับกระทรวงเกษตรฯรับผิดชอบเรื่องสัตว์กับพืชผัก ผลรายงานล่าสุดของหน่วยงานดังกล่าวออกมาว่ายังไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่เราบอกว่าต้องเฝ้าระวัง เพราะประชาชนอยากรู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อยังไง อันดับแรกก็คือน้ำ พอเราพบว่ามีสารปนเปื้อนเยอะขนาดนี้ก็หารือกับกรมอนามัยว่า ไม่ควรไปแช่น้ำนาน ถ้าจำเป็นต้องแช่ก็ต้องทำความสะอาด ส่วนน้ำดื่มนั้นแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำประเภทที่สอง คือไม่ได้ใช้เพื่อการบริโภคอยู่แล้วแต่เป็นน้ำที่ใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เราก็ไม่แนะนำให้บริโภค ส่วนน้ำเพื่อการลดน้ำเพื่อการเกษตร ได้ส่งแล็บของเราวิเคราะห์ผลว่ามีค่าสารหนูลดลงจากเดิม(ก่อนการวิเคราะห์)หรือไม่ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้คำแนะนำกับประชาชนในการใช้น้ำ

ระบบเศรษฐกิจบนความ(ไม่)เชื่อมั่น

“ตรวจแล้วผลออกมาเท่านี้ ปลอดภัยหรือไม่” 

คำตอบจากแม่รัตนัย เมื่อถามถึงความกังวลที่สุดของประชาชนที่ต้องใช้น้ำ จากเดิมที่ชาวนาจะเริ่มหว่านข้าวนาปีในเดือนเมษายน แต่ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาล ว่าน้ำที่ผันมาจะใช้ในการเพาะปลูกได้หรือไม่ แม้จะเข้าร่วมโครงการ ‘นาแปลงใหญ่’ ของกลุ่มทุนที่ประกันการซื้อผลผลิตหลังเก็บเกี่ยว โดยที่ให้เกษตรกรลงทุนเมล็ดพันธุ์ แต่การไม่ประกันราคาขาย ก็ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองราคาที่เป็นธรรม ยิ่งในสถานการณ์การปนเปื้อนสารโลหะหนักที่พ่อค้าคนกลางใช้เป็นเหตุให้กดราคาซื้อขายในภายหลัง

แม่รัตมองว่าผลกระทบสำหรับเชียงรายในวันนี้ คือทุกอำเภอตลอดเส้นทางน้ำกกกว่า 6 อำเภอ ที่มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันกว่าแสนไร่ แม้ไม่มีคำสั่งห้ามจากรัฐบาลไม่ให้มีการเพาะปลูก แต่มีคำสั่งห้ามสัมผัสน้ำโดยไม่จำเป็น ก็เหมือนเป็นการมัดมือชาวบ้านไม่ให้ทำอะไรไปด้วย ซึ่งหากแม่รัตลงทุนหว่านนาปีในเดือนเมษายน ก็จะได้เงินโดยยังไม่หักทุกอยู่ที่ 60,000 บาทในการทำนาจำนวน 5 ไร่ ถึงแม้จะไม่ได้ขาย ก็ยังมีข้าวสารไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือน 

ในขณะที่อธิบดีคพ. ยืนยันว่า ถ้าอยู่ในจุดที่สารหนูไม่เกินค่ามาตรฐานก็สามารถใช้น้ำได้ เพียงแต่ต้องติดตามผลการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องของกรมฯ แต่อยากให้รอการยืนยันผลจากห้องปฏิบัติการของกรมฯก่อน คิดว่าน่าจะช่วยประชาชนได้มาก

แล้วแหล่งน้ำใต้ดินปนเปื้อนสารหนูด้วยหรือไม่   

“กรมทรัพยากรน้ำตรวจแล้วไม่พบค่าสารหนูเกินมาตรฐาน” อธิบดี คพ. อธิบายถึงแนวทางของการตรวจวัดคุณภาพน้ำว่า คพ.ได้กำหนดการตรวจวัดคุณภาพน้ำเดือนละ 2 ครั้งอีกทั้งเพิ่มจุดตรวจวัดจาก 15 จุดเป็น 24 จุด ส่วนข้อเสนอ เรื่องสิ่งก่อสร้างดักตะกอนนั้น ตอนนี้กรมทรัพยากรน้ำกำลังระดมความคิดเห็นว่ารูปแบบใดที่เหมาะสม ซึ่งต้องมีการทดสอบทางวิศกรรมทางเรื่องอุทกวิทยา ซึ่งส่วนตัวก็ให้คำแนะนำไปว่าควรหารือกับกรมเจ้าท่า และผู้นำชุมชนในพื้นที่เพราะจะรู้จักพื้นที่ได้ดีกว่าเรา 

ผลกระทบจากการ “รอ” การยืนยันของทางการไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับแม่รัต แต่ยังรวมไปถึงเกษตรกรที่ไม่กล้าหว่านเมล็ดข้าวในนาตัวเอง ชาวประมงไม่ลงน้ำจับปลา เป็นค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ว่ามลพิษข้ามพรมแดนในครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด 

กอบกิจ อิสรชีววัฒน์ ประธานหอการค้าเชียงใหม่ ให้ข้อมูลการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่หลังสถานการณ์โควิดในปี 2566 ที่มีน้ำหนักอยู่ที่การเติบโตของภาคบริการและการท่องเที่ยวอยู่ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ของ GDP รองลงมาคืออุตสาหกรรมภาคการเกษตรและการส่งออก แต่เมื่อเทียบเคียงกับตัวเลขแรงงานที่กว่า 45 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาคการเกษตร น้ำหนักการเติบโตของภาคธุรกิจและแรงงานที่เป็นฟันเฟืองจึงยังไม่สัมพันธ์กันอย่างเห็นได้ชัด

“นับเป็นความท้าทายของภาคเอกชนรวมถึงหอการค้า ที่จะเข้าถึงข้อมูลผลกระทบภาคธุรกิจแยกย่อยในระดับอำเภอ เพราะยังไม่มีรูปแบบการเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรม” 

กอบกิจกล่าวว่า จากการสอบถามเครือข่ายผู้ประกอบการในพื้นที่ ก็พอคาดการณ์ได้ว่า พฤติกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในปัจจัยการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในพื้นที่ ที่จำนวนนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ด้วยจำนวนการเดินทางที่ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ยิ่งเมื่อเป็นการท่องเที่ยวในต่างอำเภอรอบนอกที่มีระยะห่างจากตัวเมือง ปัญหารถโดยสารสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุม มีจำนวนที่น้อย ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เศรษฐกิจโดยรอบตัวเมืองเชียงใหม่กำลังเผชิญอยู่ นอกเหนือไปจากสภาวะความแปรปปรวนของสิ่งแวดล้อมและมลพิษ ซึ่งในมุมมองของประธานหอการค้าเชียงใหม่ ก็ยอมรับว่าข่าวสารวิกฤตสารหนูปนเปื้อนในลุ่มน้ำกกนั้นมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวภายในพื้นที่

“ภาคธุรกิจไม่ได้รับความช่วยเหลือสักเท่าไหร่ ผู้ประกอบการต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเอง”

การเยียวยาในระยะเบื้องต้นที่ยังไม่ถูกพูดถึง รวมไปถึงแผนการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวที่ต้องใช้ระยะเวลาเป็นกลไกสร้างความมั่นคง สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญ คือการไม่ถูกนับรวมไปในกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ กระทั่งต้องจ่ายเพื่อหลักคุ้มครอง ‘ประกันความเสี่ยง’ ของบริษัทประกันเอกชน ซึ่งมีแนวโน้มราคาที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงไม่อนุมัติหลักการคุ้มครองเพราะความเสี่ยงที่ต้องประกบกับเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ

สำหรับผลกระทบของผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงราย ดร. อนุรัตน์ อินทร ผู้ประกอบการธุรกิจที่ติดตามสถานการณ์ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมองว่าเป็นความเกี่ยวเนื่องระหว่างเหตุอุทกภัยและสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดน ที่นับตั้งแต่ผลกระทบของพายุยางิในเดือนกันยายน สภาวะเศรษฐกิจเชียงรายที่ซบเซาจากน้ำท่วมก็ฟื้นขึ้นมาอีกหนึ่งหลังเดือนตุลาคม คาดการณ์ว่ามาจากแรงกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในพื้นที่ก่อนจะซบเซาอีกครั้งหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน 

ขณะที่สถานการณ์ที่ตรวจพบสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งแม้จะยังไม่มีการรวบรวมตัวเลขผลกระทบในภาพรวมที่ชัดเจนนัก ดร. อนุรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการก็ประเมินจากธุรกิจตัวเองได้ว่า รายได้ที่เคยมีอยู่เดิมหายไปมากว่าครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่โลว์ซีซั่นหลังเดือนเมษายน ซึ่งต่อเนื่องไปถึงช่วงที่มีการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกก ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ลดจำนวนการเดินทางมายังภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงนี้

มลพิษนี้ไร้ฤดูกาล ปิดเหมืองคือคำตอบ  

“มีคอมเมนท์มาเยอะว่า ตรวจคุณภาพน้ำไปทำไม ตรวจไปก็เจอ (หัวเราะ) ไม่ต้องตรวจไหม เราก็สะท้อนไปว่าถ้าคพ.ไม่ตรวจคุณภาพน้ำและตะกอนดิน เราจะไม่มีผลการตรวจและข้อมูลไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำใช้วางแผนการช่วยเหลือประชาชน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้สถานการณ์มันรุนแรงแค่ไหน การสังเกตแค่ความขุ่นยังไม่พอ คิดว่ายังจำเป็นต้องตรวจคุณภาพน้ำ เพื่อเฝ้าระวังและเตือนภัยให้กับประชาชน เนื่องจากเรามีอีกฐานะหนึ่ง คือการเป็นฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการฯที่มีบทบาทเป็นผู้ประสานงานหลักกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” 

ปรีญาพร ยอมรับว่าความท้าทายของตนคือการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเรา ทำอย่างไรให้เมียนมาหยุดการทำเหมืองชั่วคราว เพื่อทำระบบบำบัดหรือกำจัดก่อนที่จะปล่อยออกมาสู่ลำน้ำซึ่งเป็นลำน้ำที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและตอนนี้อาจจะเป็นมลพิษข้ามพรมแดนแล้ว 

งานเขียนสารคดีที่บันทึกซากปรักหักพังทางเศรษฐกิจ เมื่อชีวิตต้องประ ‘สบ’ พิษ ฉากชีวิตของผู้คนที่ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง บนความสั่นคลอนหลายระลอกคลื่น เหลือไว้แต่ตอไผ่ริมฝั่งกับเศรษฐกิจที่หลับใหลไปกับสายน้ำ เพราะมลพิษนี้ไร้ฤดูกาล... ยังไม่มีตอนจบบริบูรณ์

แน่นอนว่า ประเทศไทยเคยเจอมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนมาแล้วน่าจะรับมือได้ไม่ยาก ซึ่งมีข้อตกลงอาเซียนเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution : AATHP) แต่ในเรื่องน้ำนั้น ยังไม่มี  ถึงแม้เราจะมีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) แต่เมียนมาก็ไม่ได้อยู่ในMRC จึงเป็นความท้าทายที่จะทำอย่างไรให้ประเทศเพื่อนบ้านเห็นความสำคัญของการป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนนี้ 

มลพิษทางน้ำมันเป็นพิษสะสมไม่ใช่พิษเฉียบพลัน ค่อยๆสะสมไปเรื่อย ๆ อันนี้ยากกว่าในมุมมองของอธิบดี คพ.ให้เหตุผลว่า ที่ว่ายากกว่าคือจะมีจุดไหนที่ตัดสินว่ามันคือความไม่ปลอดภัยล่ะ ดังนั้นการตรวจวัดคุณภาพน้ำ ถ้าเกินค่ามาตรฐาน 0.01 ถ้าเกินนี้ก็ถือว่าอันตรายแล้ว แต่ความยากของเราคือกลไกของการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศมีการสื่อสารที่เป็นระบบ แต่มลพิษทางน้ำยังไม่เคยมี และเราก็บล็อกมันไม่ได้ มลพิษนี้ไม่มีฤดูกาล สามารถส่งผลกระทบไปได้เรื่อย ๆ ไปถึงแม่น้ำโขง ซึ่งก็จะเป็นปัญหาข้ามพรมแดน

(นิ่ง) โจทย์ยากค่ะ

ทางออกของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน – ผู้สื่อข่าวถาม 

(หัวเราะ) ต้องปิดเหมืองให้ได้ค่ะ ต้องหยุดต้นตอให้ได้ก่อน แต่ว่า เรารอถึงตรงนั้นไม่ได้ ทางกรมทรัพยากรน้ำจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดักตะกอนดิน แล้วนำตะกอนดินมาทดสอบว่าเกินค่ามาตรฐานคุณภาพดินหรือไม่ ถ้าเกินค่ามาตรฐานก็ต้องนำไปบำบัดกากมลพิษก่อน ถ้าหากไม่เกินก็สามารถนำไปฝังกลบ

“บทเรียนในครั้งนี้ของพี่คือเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤติและทำความเข้าใจกับประชาชนและการเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ  ถ้าเราสื่อสารได้เร็วกว่านี้และรับฟังข้อคิดเห็น ไม่ปิดบังข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยให้งานเรื่องมลพิษ ซึ่งเป็นงานสาธารณะที่จะเป็นประโยชน์ในการสร้างร่วมมือกันในแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าการโจมตีกันไปมา” ปรีญาพร ทิ้งท้าย

แม้วันนี้การใช้น้ำประปาเพื่ออุปโภคของหมู่บ้านในเวียงเชียงรุ้งจะยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะยังใช้น้ำบาดาลที่อยู่ห่างจากแม่น้ำกก แต่ชาวบ้านต้องซื้อน้ำเพื่อการบริโภค แม่รัตยอมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อไปซื้อน้ำจากนอกพื้นที่ จากเดิมที่เคยซื้อน้ำจากโรงน้ำที่ผลิตน้ำดื่มในพื้นที่ใกล้บ้าน อาจจะยุ่งยาก เสียเวลา และซื้อน้ำบริโภคในราคาที่สูงขึ้น แม่รัตยืนยันที่จ่ายเพื่อแลกกับความสบายใจต่อสุขภาพในระยะยาว

รัฐบาลต้องสื่อสารในวงกว้าง ให้ชาวบ้านเข้าใจว่าทำอะไรได้บ้าง

“คนขายก็ไม่ได้ขาย คนซื้อก็ไม่อยากซื้อ 

ยิ่งตอนนี้แม้แต่ข้าวกินก็ยังทำเองไม่ได้ 

แม้แต่จะหว่านข้าวทำได้ไหมละ”  

ประโยคคำถามและความขับข้องของแม่รัตและประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องการสื่อสารถึงผู้มีอำนาจรัฐให้แก้ปัญหานี้ “ทันที” เพราะมลพิษ(สารหนู)ข้ามพรมแดนนี้ไม่มีฤดูกาลที่แน่นอน การซื้อเวลาจึงมีต้นทุนที่ชาวบ้านและภาคธุรกิจ “จ่าย” ได้เพียงช่วงขณะหนึ่ง จากผลกระทบที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อ

แม้เศรษฐกิจในพื้นที่จะหลับสนิท ตามนิยามของพี่สามารถ ที่พยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่เมื่อเสียงที่ถูกลืม ดังขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็หวังว่าจะเป็นอัตราเร่งให้รัฐบาลเดินหน้าเจรจากับจีนและเมียนมาเพื่อแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยไม่มีใครต้อง “รอ” โดยไม่รู้จุดหมายปลายทางของ “สารหนู” จะหยุดระหว่างทางที่ตรงไหน