ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
เราต่างก็รู้ดีว่าการทำรัฐประหารเป็นความผิด …และผิดถึงขั้นล้มล้างการปกครองด้วยซ้ำ
แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนสนับสนุนแนวคิดที่ว่ากองทัพ ‘สามารถเอาปืนจี้’ และปล้นได้มาซึ่งใช้อำนาจปกครองอันปราศจากฉันทามตินี้ ซึ่งถึงแม้จะดูว่ามีคนออกมาแสดงพลังเชียร์กันมากมาย แต่ก็แน่นอนว่ามีจำนวนไม่มากพอที่จะเลือกคนที่ตัวเองต้องการ …หรือกีดกันคนที่ไม่ต้องการ ให้ได้เป็นรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตยได้แต่ต้น ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือคนเหล่านี้ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่สนับสนุนความคิดเผด็จการ ซึ่งริดรอนสิทธิแห่งประชากรอันน้อยนิดที่ตัวเองมี
เกิดอะไรขึ้น…
มีคนจำนวนมากที่ไม่คิดว่ารัฐประหารเป็นสิ่งชั่วร้าย และเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย พอ ๆ กับที่ไม่คิดว่าทหารไม่มีสิทธิ์และความชอบธรรมใด ๆ ในการเข้ามาปกครองประเทศหรือแม้แต่แทรกแซงการเมือง
ประการหนึ่งก็ต้องไม่ลืมว่า ในทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร …ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เราก็มักจะได้ยินวาทกรรมสร้างความชอบธรรมประเภททหารเป็นคนดีกว่านักการเมือง ทหารเข้ามาปราบรัฐบาลคอร์รัปชันและคดโกง หรือกระทั่ง ทหารต้องปกป้องชาติ ทหารเสียสละเข้ามาแก้ไขวิกฤติชาติ ทั้งที่ทหารมีไว้เพื่อปกป้องชาติจากกองทัพต่างชาติ ไม่ใช่ประชาชนหรือนักการเมืองในชาติ
อีกทั้งมักมีการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างเอิกเกริกกว้างขวางหลังการรัฐประหาร ไม่ว่าจะผ่านโฆษณาโดยตรง หรือนิยาย หนัง ละครโทรทัศน์ที่มีพระเอกเป็นคนมี’อาชีพทหาร’ที่ถูกโรแมนติไซส์ให้เป็นคนดี เท่ หล่อ สุภาพบุรุษเหนือมนุษย์ทั่วไป รวมทั้งตามออกอบรมบ่มเพาะความทหารในหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ
แต่ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ทำผิดฉกรรจ์ แต่ทหารที่ทำรัฐประหารก็ไม่เคยต้องโทษสักคน ไม่มีใครเคยโดนข้อหากบฏหรือล้มล้างการปกครอง (เว้นแต่คนที่ทำรัฐประหารไม่สำเร็จ) ไม่เคยมีใครติดคุกติดตาราง หรือกระทั่งโดนสอบสวน เพราะสิ่งแรกที่คณะรัฐประหารทำทันทีก็คือฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง จากนั้นก็ร่างใหม่ให้ตัวเองปลอดภัยจากโทษทัณฑ์ แต่ที่ประหลาดมหัศจรรย์กว่านั้นคือ แทนที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งได้กลับมาบริหาร มีรัฐธรรมนูญใหม่ที่ระบุโทษคณะรัฐประหารก็ยังคงไม่มีการเอาผิดย้อนหลังกับผู้กระทำอยู่ดี มิหนำซ้ำผู้ทำรัฐประหารหลายคนยังได้รับตำแหน่งใหญ่โตสำทับ หรือน้อยกว่านั้นก็ยังคงเป็นบุคคลที่ได้รับความนับหน้าถือตาจากสังคมเมื่อลงจากตำแหน่งผู้นำที่ปล้นมา

การเป็นประเทศพิลึกไม่เหมือนประเทศอื่น ๆ ในโลก ไม่เพียงแค่เพราะเราพบเจอการรัฐประหารบ่อยจนเป็นเหมือนสิ่งปกติ คนในประเทศยังเป็นมนุษย์อำนาจนิยมอย่างเต็มรูป คุ้นชินกับความไม่ปกติที่หยั่งรากลึกลงในทุกองคาพยพของสังคม จนถึงขั้นชื่นชมและสนับสนุนการริดรอนเสรีภาพรูปแบบต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน แม้จะถูกสอนมาว่าการรัฐประหารเป็นเรื่องผิดมหันต์ถึงขั้นล้มล้างการปกครองนั้นก็ยังสามารถทำได้
…หากจำเป็น
ตั้งแต่อายุน้อย ๆ เด็ก ๆ ของเราก็ถูกครูตัดผมกล้อนหัวกันเป็นปกติ ใส่เครื่องแบบนักเรียนเป็นปกติ ทำผิดเล็กน้อยก็โดนทุบตีกันเป็นปกติ และจนถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเราก็ยังโพรโมตสุภาษิต…รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ซึ่งเปรียบเด็ก ๆ เป็นปศุสัตว์ไม่ใช่มนุษย์อายุน้อยขนาดเล็ก รวมทั้งเมื่อมีกฎหมายห้ามทำร้ายเด็กในโรงเรียนออกมา ครูก็ยังไม่วายสั่งลงโทษรุนแรงแทน อย่างให้วิ่งหรือใช้แรงกายอย่างหนัก จนถึงแก่ชีวิตไปหลายรายก็ยังทำกันอยู่ ไม่นับสั่งให้ยืนกลางแดดบ้าง ฝนพายุกระหน่ำบ้าง ไปยันริบโทรศัพท์ รวมทั้งคลานเข่าเข้าหาครูบาอาจารย์ไปจนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ไม่ถูกมองว่าผิด แถมยังคิดว่านี่เป็นมารยาท และวิถีไทยดีงามอีกด้วย



เราเลี้ยงเด็ก ๆ ของเราด้วยความกลัว และปลูกฝังว่าสร้างความพอใจให้พ่อแม่และครู …คนที่อายุมากกว่า มีตำแหน่งสูงกว่าเป็นเรื่องถูกต้องดีงาม
ทั้งที่ยี่สิบห้าปีหรือเศษหนึ่งส่วนสี่ของชีวิตนั่น ไม่ได้ช่วยสร้างประชากรผู้ใหญ่ที่มีวินัยความรับผิดชอบ อย่างที่อ้างตอนบังคับเด็ก ๆ เลยแม้แต่น้อย นอกจากทำให้เรามีผู้ใหญ่วัยทำงานที่จำนน ไม่กล้าเสนอความเห็นทั้ง ๆ ที่ถูกจ้างมาให้คิด ซึ่งแปลว่าคือพนักงานที่อ่อนด้อยและอ่อนแอ ซึ่งในแง่หนึ่งก็จะจำยอมต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบโดยบริษัท ตั้งแต่ยอมเซ็นใบลาออกแทนการให้ออกซึ่งต้องมีการชดเชยตามกฎหมาย ยอมให้มีการตรวจเลือดเอชไอวีทั้ง ๆ ที่กฎหมายห้าม หลายครั้งยังเคยเห็น กระทั่งพนักงานคุกเข่าพูดกับเจ้าของบริษัท …ก็เช่นเดียวกับที่เด็กโต ๆ แล้วทำกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย
มิหนำซ้ำ การกดทับเด็ก ๆ ตลอดช่วงเวลาการเติบโตไม่ได้ทำให้เราประชากรที่มีระเบียบวินัยกว่าประเทศอื่นเลย ออกจะต่ำมาตรฐานด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่าที่เรายังกลับสร้างผลลัพธ์ด้านตรงข้ามขึ้นอีกต่างหาก

เราสร้างผู้ใหญ่ที่บ้าอำนาจในสังคม ยกย่องคนมีอำนาจและจำนนต่อคนมีอำนาจ ขณะเดียวกันก็กำกับใช้อำนาจต่อคนที่อำนาจน้อยกว่า …ลงไปเป็นทอด ๆ เราใช้อำนาจต่อกันเป็นเรื่องปกติในทุกรูปแบบตั้งแต่นินทาว่าร้ายใส่ความ ตบตีทำร้ายกันในครอบครัวเมียผัว หึงหวงครอบครองกัน ไปจนถึงที่ทำงานทั้งราชการและเอกชน อย่างใช้งานคนนอกเหนือจากตำแหน่งที่จ้าง สั่งงานตามอำเภอใจทั้งเช้าทั้งดึกทั้งในวันหยุด ความดีมีหัวหน้ารีบรับ…มีปัญหาก็โทษลูกน้อง
เหล่านี้เองที่เป็นที่มาของการสร้างนิสัยประจบประแจง แทงข้างหลัง หน้าไหว้หลังหลอก คอร์รัป รับซอง คดโกง กินหัวคิว เล่นพรรคเล่นพวก ฮั้ว …สารพัดการหาประโยชน์แบบไม่ตรงไปตรงมา และการแสวงหาประโยชน์แบบไม่ตรงไปตรงมา ไม่ตามกติกาหน้าที่ ที่ทำกันเป็นปกติจนชาชินเหล่านี้เองที่ทำให้การใช้อำนาจบีบบังคับให้ได้อำนาจมา อย่างการทำรัฐประหาร ที่ทำแล้วยังลอยนวลพ้นผิด…กลายเป็นเรื่องปกติ
ยิ่งกว่านั้นทหารรัฐประหารเองยังใช้อำนาจที่ปล้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องตัวเอง และในที่สุดเมื่อดูไม่งามพอที่จะครอบครองตำแหน่งที่ปล้นมาได้ยาวนานก็สร้างกลไกล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และปกป้องตัวเองในอำนาจเพิ่มขึ้นอีกหลายขั้น หลายชั้น โดยหลายหน่วยงาน จนวันนี้ การรัฐประหารในปัจจุบันสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้รถถังเอิกเกริกด้วยซ้ำ
เราจะใช้หยุดรัฐประหารและเป็นประเทศเจริญได้ เราจำเป็นต้องพาประเทศออกจากวงจรครอบงำของอำนาจที่กำกับสังคมในทุก ๆ ด้าน ทั้งในรูปแบบซอฟต์พาวเวอร์และฮาร์ดพาวเวอร์ ทั้งในครอบครัว โรงเรียน ชุมชน บริษัท หน่วยงานและองค์กร
ที่สำคัญ เข้าใจโยงใยที่เชื่อมต่ออำนาจเข้าด้วยกัน

ภาพประกอบโดย: ภานุพัฒน์ บุญรื่น , ณัฐนนท์ ณ นคร