Reading Time: 3 minutes
สงครามฆ่าความจริงเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็พรากทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
เฉกเช่นเดียวกับการถวิลหาวัยเยาว์ผ่านวรรณกรรมและการจากไปของ อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี ผู้ให้กำเนิดกุหลาบ ทะเลทราย หมาจิ้งจอก และเด็กหน้าตาใสซื่อจากดาว B612 จากวรรณกรรมเจ้าชายน้อย หลังเขาขับเครื่องบิน P38 ในเช้าวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 เพื่อถ่ายภาพทางอากาศสำหรับการจัดทำแผนที่ในการขึ้นบกที่โปรว็องซ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาไม่ได้กลับมา
อย่างไรก็ตาม อองตวนไม่ได้หายจากไปพร้อมความค้างคาในใจว่าวรรณกรรมของเขามีคุณค่าพอให้เป็นหนังสือขายดีหรือไม่ เพราะจนถึงปัจจุบัน เจ้าชายน้อยได้ติดหนังสือที่ดีที่สุดตลอดกาลและเป็นหนังสือก่อนตายของใครหลาย ๆ คน รวมถึงนักวิจารณ์หลายสำนัก
หนึ่งในความเยาว์ที่ปรากฏชัดที่สุดแทบทุกตัวอักษรในวรรณกรรมเรื่องนี้ มีที่มาจากแม่ของเขา มาดาม เดอ แซงเตก-ซูเปรี
Antoine de Saint-Exupéry, newly discovered preparatory sketches for The Little Prince. Courtesy of the Stiftung für Kunst, Kultur und Geschichte, Winterthur, Switzerland.
มาดาม ไม่เพียงแต่จะเป็นเสาหลักให้กับเด็กชายอองตวนตลอดชีวิต จากจดหมาย 110 ฉบับที่ปรากฏในหนังสือ จดหมายถึงแม่ (Lettres à sa mère) ยิ่งประจักษ์ชัดว่าภายใต้ความเป็นนักเขียนระดับโลก รวมไปถึงฮีโร่ ผู้บุกเบิกการบินไปรษณีย์ของฝรั่งเศสนั้น มีแม่ เป็นผู้สนับสนุนทุกช่วงชีวิต ในขณะเดียวกัน ทั้งหมาจิ้งจอก กุหลาบ และเจ้าชายน้อย ต่างมีกลิ่นอายของผู้เป็นแม่อยู่ไม่น้อย
หนังสือเล่มนี้ซึ่งเปรียบเหมือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่ในมุมเดียวกัน เราได้รู้จักผู้ประพันธ์เจ้าชายน้อยมากขึ้น ฉากชีวิตต่าง ๆ ของเขาล้วนกลายมาเป็นวัตถุดิบในวรรณกรรมกระฉ่อนโลก แต่ในอีกมุมหนึ่งเราเห็นแผลลึก ๆ ที่กัดกินเขาในช่วงเวลาสงคราม ช่วงเวลาที่โหดร้ายและผลักให้ชายคนหนึ่งยังประคับประคองความเยาว์ของเขาเอาไว้ และจารึกมันผ่านจดหมายถึงแม่ ตั้งแต่ปี 1900-1944
เจ้าชายน้อย อาจเป็นเด็กน้อยในตัวเรา บุตรหลานที่เราคิดถึง หรือใครสักคนที่ย้ำเตือนว่าเราคือใคร แต่สำหรับอองตวน เจ้าชายน้อยอาจแทนจดหมายจากเขาถึงแม่ในหลากมิติ ที่ไม่ว่าจะบินเหนือทะเลทรายซาฮาร่าและมหาสมุทรใด ก็ไม่ทำให้สายสัมพันธ์นี้จางลงได้
การเขียนจดหมายในช่วงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ไม่เพียงแต่เป็นช่องทางการสื่อสาร ส่งข่าว ถึงกันและกัน แต่ยังหมายถึงการยืนยันตัวตนว่าสงครามยังไม่พรากพวกเขาจากไป
ด้วยความที่วัยเด็กของอองตวนนั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 มาดามเล็งเห็นว่า หากให้อยู่ต่อในฝรั่งเศสต่อไปอาจเป็นผลร้ายและได้รับผลกระทบจากสงคราม ครอบครัวแซงเตก-ซูเปรี ซึ่งเป็นครอบครัวชนชั้นสูงของฝรั่งเศส จึงได้ส่งอองตวนไปศึกษาที่โรงเรียนประจำในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยังเป็นกลางทางสงครามในช่วงเวลาดังกล่าว
แม้จะเป็นโรงเรียนประจำที่เต็มไปด้วยเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่จะเห็นได้ว่าอองตวนยังคงให้ความสำคัญกับการเขียนจดหมายถึงแม่อยู่เสมอ เขามักเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้แม่ของเขาฟัง ในขณะเดียวกัน ความเป็นเด็กของอองตวนก็เรียกร้องถวิลหาผู้เป็นแม่อยู่เสมอ ในจดหมายหลายฉบับเราเห็นความห่วงใยและความเป็นเด็กที่ยังติดอยู่ในตัวของอองตวนผ่านจดหมายถึงแม่
[ปารีส โรงเรียนแซ็งต์-หลุยส์ 1917] “ผมมีเวลาเขียนถึงแม่ได้สั้น ๆ เท่านั้นนะครับ แม่เขียนถึงผมทุกวันสิครับ ผมจะได้มีความสุขอย่างยิ่งยวด!” “ถ้าผมมีแม่อยู่ด้วย ผมคงขึ้นถึงสวรรค์ชั้นสามเป็นแน่ เขียนถึงผมบ่อย ๆ นะครับ” “นี่ก็สิบห้าวันแล้วที่ผมไม่ได้รับจดหมายจากใครเลย”
การเขียนจดหมายถึงแม่ของอองตวนกลายเป็นรากของการเป็นนักประพันธ์ของเขา แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือตัวตนของแม่เขาได้ประจักษ์ชัดผ่านตัวละครต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในงานของเขาแทบทั้งสิ้น
ด้วยความที่อองตวนเองเป็นเด็กที่เกิดและเติบโตในยุคสงคราม จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในรูปแบบจดหมายถึงแม่ไม่สามารถพูดได้เต็มปากนักว่าเขาเกลียดชังสงครามหรือไม่มีอารมณ์ร่วมใด ๆ กับความคิดชาตินิยมที่ทุกชาติปลูกฝังอย่างเข้มแข็งในช่วงเวลาดังกล่าว
Antoine de Saint-Exupéry, newly discovered preparatory sketches for The Little Prince. Courtesy of the Stiftung für Kunst, Kultur und Geschichte, Winterthur, Switzerland.
แต่อย่างไรเสีย สิ่งที่อองตวนใฝ่ฝันก็แสดงให้เห็นผ่านงานของเขา ไม่ว่าจะเป็น Southern Mail (1929), Night Flight (1931) หรือ Wind, Sand and Stars (1939) ท่ามกลางความเสี่ยงของการบินในยุคบุกเบิกที่อันตรายถึงชีวิต แซงเตกกลับมองเห็นโอกาสที่จะได้ผจญและท่องโลกกว้าง แล้วถ่ายทอดเรื่องราวการผจญภัยผ่านสายตาของนักเขียนนักกวีลงบนหนังสือซึ่งยังคงเป็นที่พูดถึงอยู่มากมาย เขาหลงรักในชีวิตบนท้องฟ้าและการเขียนยิ่งกว่าอะไรดี ราวกับว่าทั้งสองอย่างได้ฝังอยู่ในสายเลือดเขาไปแล้ว
แม่กลายเป็นที่พึ่งพาทางใจ แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้น แม่ก็ได้เป็นยิ่งกว่านั้น แม่กลายเป็นที่พึ่งพาทางการเงินคนสำคัญของอองตวน!
แม้ว่าอองตวนจะเข้ารับการเป็นทหาร มีตำแหน่งเป็นระดับผู้บังคับบัญชาหมู่ แต่ท่ามกลางสงครามก็ดูเหมือนว่าเงินจากเข้ารับราชการทหารจะไม่พอต่อชีวิตของเขา เราจะเห็นในจดหมายหลายฉบับเมื่ออองตวนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เขามักจะมีเงินไม่ถึง 100 ฟรังก์ เมื่อเขียนจดหมายมาหาแม่เขามักจะขอยืมเงินแม่เสมอ
แม้ว่าในหนังสือเล่มนี้จะปรากฏเพียงแต่จดหมายของอองตวนถึงแม่ แต่เดาจากน้ำเสียง อองตวนน่าจะโดนผู้เป็นแม่ดุไม่มากก็น้อย ที่ชีวิตซึ่งไล่ตามความฝันบนท้องฟ้าและน้ำหมึก ต้องใช้เงินจำนวนมากโข ถึงแม้ว่าครอบครัวของเขาจะเป็นชนชั้นสูง แต่เนื่องจากในภาวะสงครามทำให้การเงินก็ไม่ได้สามารถใช้จ่ายได้อย่างสุรุ่ยสุร่ายมากนัก นั่นจึงเป็นความสำคัญของคนสำคัญอย่างแม่ในชีวิตของอองตวน
[สตราส์บูรก์ พฤษภาคม 1921] “วันอาทิตย์ แม่ช่วยส่งเงินมาให้ผมจำนวน 1,500 ฟรังก์ หนึ่งพันค่าประกัน ส่วนอีก 500 เป็นค่าฝึกงวดแรกจำนวนหนึ่งในสี่ครับ”
[คาซาบลังกา 1921] “ผมไม่มีเงินสักแดงเดียว ผมไปอยู่เมืองราบัต 8 วันเพื่อสอบ E.O.R. ผมไม่สนใจว่าผมจะสอบได้หรือไม่ ชีวิตในฝูงบินเป็นชีวิตที่ผมชอบ”
12 ถนนเปอตี๊ [ปารีส 1924] “ขอบคุณแม่เป็นที่สุดสำหรับธนาณัติ ฐานะการเงินของผมย่ำแย่มากเพราะต้องย้ายที่อยู่ ผมอยู่ในสถานการณ์ที่มืดมน”
Antoine de Saint-Exupéry, newly discovered preparatory sketches for The Little Prince. Courtesy of the Stiftung für Kunst, Kultur und Geschichte, Winterthur, Switzerland.
จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้น ชีวิตของเขาอยู่บนท้องฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ และบนท้องฟ้าที่นั้นคือเหนือผืนดินที่กำลังทำสงคราม ทำให้การเขียนจดหมายหรือกระทั่งการเขียน การวาด อะไรบางสิ่งออกมา ไม่ใช่เพียงแค่การฝึกฝน แต่เป็นการระบายความรู้สึกเหงา ความกลัว และความรู้สึกนึกคิดของคนที่ต้องชีพจรติดปีกอย่างเขาตลอดชีวิต
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้จะได้ศึกษาในโรงเรียนประจำในต่างบ้านต่างเมือง แต่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด ทั้งการเกณฑ์ทหาร การขาดแคลนอาหาร และการสูญเสียชายหนุ่มจำนวนมากในชุมชน
ในขณะที่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งเขาจากไป อองตวนเป็นทั้งนักบินไปรษณีย์ระยะไกลในเส้นทางยุโรป–แอฟริกา–อเมริกาใต้ ซึ่งประสบการณ์การบินเดี่ยวท่ามกลางอันตราย ในขณะที่ภารกิจทางการทหารของเขาเสี่ยงสูงมาก เพราะต้องบินช้าและต่ำเพื่อสอดแนมการเคลื่อนพลของเยอรมนี
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เองก็ยิ่งเป็นช่วงเวลาบ่มเพาะการถวิลหาอิสระภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่อิสระชั่วคราวภายใต้นกเหล็กที่มีไว้เพื่อสังหารคน
ในมุมหนึ่งอองตวนรู้สึกว่าเมื่อเติบโตขึ้นสภาวะจิตใจของผู้คนในยุคนั้นไม่ได้ถวิลหาความสุขอย่างเรียบง่าย ความสุขเท่ากับชัยชนะของชาติ ความสุขเท่ากับความมั่งคั่งจนล้นฟ้า และมีคนเดียวที่เหมือนจะเข้าใจอองตวน ก็คือแม่ของเขา
12 ถนนเปอตี๊ [ปารีส 1924] “ห้องทำงานของผมดูน่าเศร้าใจมากขึ้นทุกวัน และความรู้สึกรันทดของผมก็ยังไม่เลือนหาย นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากออกเดินทาง”
[คาซาบลังกา 1921] “ที่นี่ผมชอบอยู่อย่างเดียว นั่นคือยามที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ทุก ๆ เช้าแสงอรุณก่อตัวดังแสดงละคร”
มาดาม ได้กลายมาเป็นรากฐานที่สำคัญของอองตวนในการเขียนเจ้าชายน้อย แม้ว่าจะมีนักวิจารณ์หลายสำนักเขียนถึงเจ้าชายน้อยว่าเป็นการพินิจพิเคราะห์ถึงความเยาว์ที่แอบซ่อนในปัจเจกบุคคลเมื่อเติบโตขึ้น รวมถึงกระทั่งตัวละครที่สื่อถึงความสัมพันธ์อย่างกุหลาบ หมาจิ้งจอก หรือเจ้าชายน้อยก็ตาม ล้วนมีแม่ของเขาเป็นเบื้องหลังตัวละครอยู่
ซึ่งอ้างอิงจากการวิเคราะห์ของเดรเวอร์มันน์ จะทำให้เห็นว่า มาดาม นั้นเป็นบังเกอร์หลบภัยของอองตวน แต่ก็เป็นทั้งด้านดีและด้านลบที่มีผลต่อทัศนะวัยเยาว์ของอองตวน
เจ้าชายน้อย มีแก่นเรื่องที่เป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณทางศาสนา เพราะตามคัมภีร์ไบเบิล เด็กเป็นผู้ที่อยู่ในโลกที่สวยงาม อ่อนโยน และมีความเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้า เด็กเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นในคุณความดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของโลก
ในขณะเดียวกัน ตัวละครผู้ใหญ่ในเรื่องเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก พวกเขามีความโดดเดี่ยว หลงตนเอง และไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่น ผู้ใหญ่เหล่านี้จึงดูแปลกประหลาดและน่าขบขัน โลกมนุษย์ที่เจ้าชายน้อยพบเห็นเป็นโลกที่ไร้ความเป็นมนุษย์ และเต็มไปด้วยความเศร้า
เขาค้นพบว่า ดอกกุหลาบของเขามิใช่มีเพียงแค่ดอกเดียวในจักรวาล และได้เรียนรู้ว่า เธอ เท่านั้นที่มีความหมายต่อเขามากที่สุด ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นต้นกุหลาบที่งอกขึ้นมาด้วยความบังเอิญบนดวงดาวของเขาก็ตาม การที่เขาต้องดูแลเอาใจใส่เธอด้วยภาวะจำเป็น ทำให้ต่างผูกพันซึ่งกันและกัน
เมื่อทั้งคู่เกิดปัญหาระหองระแหง ทำให้เจ้าชายน้อยไม่เข้าใจดอกกุหลาบ เขาจึงต้องออกเดินทางผจญภัยในจักรวาล
เดรเวอร์มันน์วิจารณ์ว่า ถึงแม้ว่าเจ้าชายน้อยจะเป็นตัวละครซึ่งเกิดจากจินตนาการของนักประพันธ์ก็ตาม แต่บทบาทของมาดาม ได้เข้ามามีอิทธิพลในการสร้างพฤติกรรมของตัวละคร เนื่องจากเมื่อแซงเตก-ซูเปรีมีอายุได้เพียง 4 ขวบ บิดาของเขาได้เสียชีวิต มารดาของเขาจึงเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด
แม้จะเติบโตขึ้นและสร้างครอบครัว อองตวนเปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่เป็นลูก มาทำหน้าที่ของสามีเพื่อคอยปกป้องคุ้มกันดอกกุหลาบ แต่การที่ดอกกุหลาบมีหนามตำทำให้รู้สึกเจ็บได้นั้น คือสิ่งที่แม่ปฏิบัติต่อเขา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มีความขัดแย้งและคลุมเครือ ทำให้เจ้าชายน้อย หรือเด็กชายอองตวนไม่อาจจะเข้าใจได้
เพราะสำหรับเขาแล้วแม่ คือความงามและความเมตตา แต่เมื่อแม่มีคุณสมบัติที่ตรงกันข้าม เขาในฐานะลูกก็จำเป็นต้องค้นหาคำตอบที่เข้าใจได้ ช่วงที่เจ้าชายน้อยมีปัญหากับดอกกุหลาบ ซึ่งทำให้เจ้าชายน้อยรู้สึกเศร้าและหงอยเหงา
Antoine de Saint-Exupéry, newly discovered preparatory sketches for The Little Prince. Courtesy of the Stiftung für Kunst, Kultur und Geschichte, Winterthur, Switzerland.
[จูบี 1943] “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่ ข้าง ๆ เตาผิงที่บ้านคุณแม่ในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ คุณแม่น้อย ๆ ของผม คุณแม่ผู้มีอาวุโส คุณแม่ผู้อ่อนโยน ผมอยากเล่าทุกเรื่องที่ผมคิดให้คุณแม่ฟัง ผมอยากคุยกับคุณแม่โดยที่ผมจะขัดแย้งให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ …ผมจะเชื่อฟังคุณแม่ คุณแม่เป็นผู้ที่มีเหตุผลถูกต้องเสมอในทุก ๆ เรื่องของชีวิต”
อองตวนชื่นชมคุณแม่ผู้อ่อนโยนสวยงามของเขา เช่นเดียวกับเจ้าชายน้อยผู้ชื่นชมดอกกุหลาบผู้เลอเลิศด้วยความงาม และใช้เวลา เพื่อดูแลให้งดงามในแต่ละเช้า
สำหรับเดรเวอร์มันน์แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบนั้นไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เพราะบทสนทนาของทั้งคู่มิได้มีนัยดังกล่าว เจ้าชายน้อยมีแต่ความรู้สึกผิดต่อดอกกุหลาบที่เขาไม่ได้ดูแลเธออย่างเต็มที่ เขาต้องพยายามหาที่บังลมเพื่อมิให้กระแสลมมากระทบทำให้เธอคอเจ็บ
ถึงแม้ว่าดอกกุหลาบจะชอบออกคำสั่งกับเขา เขาก็ไม่เคยตำหนิหรือวิจารณ์เธอ เช่นเดียวกับที่เขาวิจารณ์ผู้ใหญ่หรือพระราชาผู้ชอบออกคำสั่ง เขารู้สึกพอใจเมื่อนักบินวาดแกะซึ่งอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม และมีเชือกผูกมันไว้ในตอนกลางวัน เพื่อว่ามันจะได้ไม่ไปกินดอกกุหลาบของเขา
หากเกิดข้อขัดแย้งกับดอกกุหลาบ เจ้าชายน้อยจะยอมรับว่า เขาเป็นฝ่ายผิดเสมอ เขายอมรับตนเองในบทบาทของแกะผู้ไร้เดียงสา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในความเยาว์ของอองตวนที่ปรากฏในเจ้าชายน้อย จึงเป็นทั้งด้านที่เขาถวิลหาและแผลลึกในใจ ที่ความสัมพันธ์ของคนเป็นแม่-ลูก ได้สื่อสารกันผ่านจดหมาย
ความสนุกของการได้เข้าใจ เห็นหลักฐาน ของการสร้างงานศิลปะหนึ่งชิ้นไม่ว่าจะแขนงใดก็ตาม คือการที่เราได้สำรวจแง่มุมที่ลึกขึ้นของบท ฉาก ตอน ของศิลปะชิ้นนั้น ๆ ที่เราชื่นชอบ โดยเฉพาะข้อถกเถียงของแฟนคลับ ที่พยายามตีความความลึกล้ำของบทประพันธ์ชิ้นต่าง ๆ เฉกเช่นเดียวกันเรื่องเจ้าชายน้อย ที่จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการถกเถียงว่าท้ายที่สุดแล้ว วรรณกรรมเจ้าชายน้อย ควรจัดอยู่ในหมวดใด เป็นนวนิยายปรัชญาหรือนิทานสอนใจกันแน่
ทำให้นึกถึงฉากชีวิตของฮายาโอะ มิยาซากิ ที่เด่นชัดในการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันสัญญะ รวมถึงความสนใจในเครื่องบินและช่วงชีวิตที่อยู่ในภาวะสงคราม ไปจนถึงการตีความหนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง The boy and the Heron (2023) ที่มีการพูดถึงการวางมือจากสตูดิโอจิบลิและส่งต่อให้กับลูกชายของเขา โกโร่ มิยาซากิ ท่ามกลางเสียงครหาและฝีมือที่ไม่อาจเทียบเท่าผู้เป็นพ่อ
แต่เมื่อสารคดี Hayao Miyazaki And The Heron (2024) ออกฉาย ก็ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้วฮายาโอะซังทำหนังเรื่องนี้มาพูดถึงตัวเองล้วน ๆ พูดถึงบาดแผลในใจของเขาซึ่งผ่านการจากลาของเพื่อนรุ่นบุกเบิกสตูดิโอจิบลิหลายคน โดยเฉพาะอิซาโอะ ทาคาฮาตะ ที่เปรียบดั่งไม้เบื่อไม้เมา รวมถึงสไตล์ในการทำแอนิเมชันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นอีกบุคคลที่เปรียบเสมือนบก. หรือผู้ชมคนแรกของงานฮายาโอะเสมอ
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้ทำให้ความหมายของงานศิลปะเหล่านี้เปลี่ยนไป งานศิลปะล้วนสร้างอารมณ์ร่วมของผู้ชม แต่ในขณะเดียวกันก็ทำงานกับข้างในของผู้ชมอย่างเป็นปัจเจกตามประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป
เช่นเดียวกับการศึกษาเบื้องลึกของวรรณกรรมเจ้าชายน้อย แม้มันจะทำให้เราเห็นว่าแม่ลูกของครอบครัวแซงเตก-ซูเปรี มีความสัมพันธ์กันแบบใด และมีผลต่อวรรณกรรมเรื่องนี้แบบไหน นี่อาจเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่เราทุกคนได้รับจากอองตวน ผ่านตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องเจ้าชายน้อย
ท่ามกลางความเหงา สงคราม และความสุขที่ยากจะไปถึงขึ้นทุกวัน อย่าลืมเรื่องราวเล็กน้อยที่มีในแต่ละวัน ไม่ต่างจากการเฝ้ารอคุณแม่ส่งเงิน ส่งขนม มาให้เขาที่โรงเรียนประจำในวัยเด็ก หรือกระทั่งใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังเขาไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ หรืออยู่มุมไหนบนโลกก็ตาม ดังเช่น แม่ของเขา
หลังอองตวนขึ้นบินด้วยเครื่อง P38 ที่ฐานบอร์โกในเช้าวันนั้น ทันทีที่เครื่องออกบิน เขาไม่ได้เปิดวิทยุสื่อสารกับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานีภาคพื้นดินหรือนักบินลาดตระเวนคนอื่น ๆ มีเพียงส่วนท้ายของจดหมายในเดือนกรกฏาคม ปี 1944 ที่ฐานบอร์โก เขาเขียนถึงแม่ไว้ว่า “แม่ครับ จูบผมด้วยนะครับ เหมือนอย่างที่ผมจูบแม่ด้วยความรักจากเบื้องลึกแห่งหัวใจของผม”
การจากไปของอองตวนยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเขาถูกยิง เครื่องยนต์ขัดข้อง หรืออัตวินิบาตกรรมตัวเองหรือไม่ แต่ที่เรารู้แน่ชัดคือจดหมายถึงแม่ ที่บอกเล่าว่าสงครามได้พรากหลายสิ่งหลายอย่างจากเด็กชายและเด็กสาว สงครามได้พรากความอบอุ่นที่ลูกควรได้รับจากแม่ในทุกวัน
สงครามได้ทำให้ครอบครัวต้องห่างไกลซึ่งกันและกัน
หากจะมีโลกแบบไหนที่อองตวนเฝ้าฝันอยู่ละก็…
คงเป็นโลกที่จดหมายถึงแม่ ไม่เต็มไปด้วยเรื่องราวความทุกข์ของผู้เป็นลูกก็เป็นได้
[สตราส์บูรก์ พฤษภาคม 1921]
“เรานั่งฝันอยู่ในห้องโถงเมื่อรัตติกาลโรยตัว เราเฝ้าดูตะเกียงผ่านหน้าเราไป เขาถือตะเกียงเหมือนถือห่อดอกไม้ และตะเกียงแต่ละดวงก็สั่นไหวรูปเงาของมันบนผนัง งดงามดังหนึ่งใบปาล์ม แล้วภาพลวงตาก็เคลื่อนไป จากนั้นช่อแสงสว่าง และแสงเงารูปใบปาล์มก็ถูกขังไว้ในห้องรับแขก
ทิวาวันสิ้นสุดลงสำหรับเรา เราถูกพาลงในเตียงเล็ก ๆ ของเรา ล่องลอยไปสู่อีกวัน
แม่ครับ แม่ก้มลงมองดูพวกเรา ดูเราเดินทางเยี่ยงทูตสวรรค์ และเพื่อให้การเดินทางของเราเป็นไปโดยสงบ เพื่อมิให้มีสิ่งใดมารบกวนความฝันของเรา แม่ก็บรรจงไล่รอยย่น รูปเงา และคลื่น ให้สูญสลายจากผ้าห่มของเรา…
ดรรชนีแห่งพระเจ้าทำให้ทะเลสงบได้ฉันใด นิ้วของแม่ก็ทำให้ที่นอนเรียบได้ฉันนั้น”
จาก ลูกของแม่
Antoine de Saint-Exupéry, newly discovered preparatory sketches for The Little Prince. Courtesy of the Stiftung für Kunst, Kultur und Geschichte, Winterthur, Switzerland.
Playread : จดหมายถึงแม่ (Lettres à sa mère) ผู้เขียน : Antoine de Saint-Exupéry ผู้แปล : วัลยา วิวัฒน์ศร – แปลจากภาษาฝรั่งเศส สำนักพิมพ์ : อ่าน๑๐๑
PlayRead : คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี