ร้านชำสะดวก 'สัก' ของ Badego.bodega คอมมูนิตีที่เชื่อมโยงเรื่องราวของผู้คนไว้ด้วยกัน - Decode

ร้านชำสะดวก ‘สัก’ ของ Badego.bodega คอมมูนิตีที่เชื่อมโยงเรื่องราวของผู้คนไว้ด้วยกัน

Human & Society
Reading Time: 4 minutes

สัญลักษณ์แห่งความหลากหลาย ‘เป็นกันเอง’

คำว่า Bodega ที่ฟังดูเรียบง่ายและติดหู แท้จริงแล้วมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษ และเดินทางผ่านวัฒนธรรมมาหลายชั้น ก่อนจะกลายเป็นคำที่คนรุ่นใหม่เลือกใช้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวใหม่ ๆ ในโลกศิลปะ

Bodega มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่า apothēca ซึ่งหมายถึง ที่เก็บของ หรือ คลังสินค้า คำนี้ถูกยืมเข้าสู่ภาษาสเปนในยุคกลางและกลายรูปเป็น bodega

เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายของ bodega ก็ค่อย ๆ ขยายออกจากห้องใต้ดินใต้บ้านไปสู่สถานที่สำหรับเก็บและขายของในภาพที่กว้างขึ้น จนกลายเป็นคำที่ใช้เรียกร้านขายของชำขนาดเล็ก หรือร้านโชว์ห่วยที่ตั้งอยู่แทบทุกหัวมุมถนนในเมืองใหญ่ ๆ ของโลกที่ใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก

ในศตวรรษที่ 20 คำว่า bodega ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในเมืองนิวยอร์กซึ่งมีชุมชนละตินอเมริกันจำนวนมาก ร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ไวน์ บุหรี่ อาหาร ไปจนถึงของใช้จิปาถะ กลายเป็นสิ่งที่คนเรียกติดปากว่า bodega และไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าอีกต่อไป หากกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตชุมชนที่ผู้คนแวะมาซื้อของ พูดคุย แลกเปลี่ยนข่าวสาร หรือแม้กระทั่งนั่งดื่มด้วยกันหลังเลิกงาน

ในบริบททางวัฒนธรรมนี้เองที่คำว่า Bodega ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกันเอง ความหลากหลาย และความเชื่อมโยงของผู้คน ไม่ใช่เพียงสถานที่ แต่คือพื้นที่เล็ก ๆ ที่เก็บรวมเรื่องราวนับไม่ถ้วนไว้ด้วยกัน

เช่นเดียวกัน ปุยน่น-สุพิชญา อมรไพโรจน์ และน่าน-อิสริยา กิจรัตนะกุล ผู้ก่อตั้งยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทุกอย่างเริ่มจากความชอบในเสียงของคำนี้ก่อนสิ่งอื่นใด เพียงแต่ Bodega เฉย ๆ นั้นสั้นเกินไปสำหรับความฝันที่พวกเขากำลังจะสร้าง จึงเลือกเพิ่มกลิ่นของความเป็นไทยด้วยคำผวน จนกลายเป็น บาเดโก้-โบเดก้า ที่นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงฟังก์ชันที่หลากหลายของร้านชำ ยังมีความกวน ๆ ไทย ๆ และจำได้ง่าย

“คือร้านโชว์ห่วยหรือร้านชำมันจะมีของให้เลือกเยอะเต็มไปหมด ในช่วงที่เราเริ่มอยากทำชุมชนนี้ขึ้นมา มันเลยกลายเป็นกลุ่มงานสัก Flash Tattoo ที่มีลายสักหลายแบบ หลายความหมายอยู่ในทีเดียว มันเลยเหมือนเป็นคลัง เป็นชุมชน ที่ช่างสักมีของ คนสักอยากเจอ มารวมตัวกัน เพื่อนำลายสักไปสู่ผู้คนให้มากขึ้น” สุพิชญา กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น ร้านโชว์ห่วยยังเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาเจอกัน พูดคุยกัน นั่งดื่มเบียร์ด้วยกัน ร้านชำจึงไม่ใช่แค่บรรจุผลิตภัณฑ์มากมายหลายรูปแบบ แต่ยังคงบรรจุเรื่องราว บรจจุความเป็นมนุษย์ และความเป็นกลุ่มก้อนของชุมชนและความฝันบางสิ่งอย่าง ที่มีความหลากหลาย ความแตกต่าง แต่พร้อมที่จะจรดเบียร์หลังเลิกงานพร้อมกับแกล้มสะดวกซื้อจากร้านชำเหล่านี้

บทบาทเล็ก ๆ นี้เองที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Badego.bodega ตั้งใจจะเป็นมากกว่าเวทีศิลปะ แต่คือ Community Builder ที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างศิลปะ และเชื่อมผู้คนเข้าหากันในแบบที่ร้านโชว์ห่วยทำมาตลอดหลายชั่วอายุคน

Flash Tattoo วัฒนธรรมการสักที่ผู้คนมองหาพื้นที่กลางในเมือง

Flash Tattoo คือพื้นที่เล็ก ๆ ที่ศิลปินกับผู้คนมาเจอกันท่ามกลางหมึกและเข็ม ในมุมหนึ่ง งานแฟลชนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการพาให้ช่างสักได้มาพบเจอกับคนที่อยากสักง่ายขึ้น แต่ยังสะท้อนวัฒนธรรมของสังคมร่วมสมัย ที่ผู้คนกำลังโหยหาพื้นที่กลางที่ได้มาแสดงตัวตน มาพบเจอมนุษย์ และกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย

งาน Flash Tattoo มีลักษณะพิเศษคือ เป็นการตั้งโต๊ะเปิดลายสักของช่างสัก ซึ่งแต่ละลายจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากให้เหมาะสมกับการออกมาทำการสักนอกสถานที่ และจะเปิดลาย ณ วันนั้นที่หน้างาน แล้วคนมาเลือกลายที่ตนชอบที่หน้างาน ซึ่งในงานเหล่านี้ก็จะมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่นกินกาแฟ เล่นดนตรี

ในมุมหนึ่งงานแฟลชจึงเป็นเหมือนพื้นที่กลางของเมือง เป็นคอมมูนิตีโดยเฉพาะคนชอบศิลปะงานสักมารวมตัวกัน

“ความสั้นหรือความ Flash ของมันไม่ได้หมายถึงความฉาบฉวย แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ Flash Tattoo เป็นพื้นที่ที่มันเป็นพื้นที่ปลอดภัย มันเหมือนกับเราชอบเราก็สักได้เลย มันเหมือนกับโชคชะตาที่เหมือนเจอลายนี้แล้วรู้สึกว่า ใช่เลย อยากสักลายนี้” อิสริยา กล่าว

ในแต่ละงาน Flash Tattoo ที่ Badego.bodega จัดขึ้น ศิลปินจะเตรียมชุดลายที่ตนออกแบบไว้ล่วงหน้า บางครั้งอาจมีเพียงสิบกว่าลาย บางครั้งมีหลายสิบลาย ผู้คนเดินเข้ามาเลือก แล้วในเวลาไม่นาน ลายนั้นก็จะถูกสลักลงบนผิวหนังของพวกเขา

เสียงหัวเราะ เสียงเครื่องสักที่ทำงานจังหวะสม่ำเสมอ เสียงดนตรีที่คลอไปในอากาศ และบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างศิลปินกับผู้คนที่มักเพิ่งพบกันครั้งแรกแต่กลับไว้ใจกันพอที่จะยอมให้เข็มสัมผัสร่างกาย นี่คือคำอธิบายของงาน Flash tattoo เท่าที่สองเพื่อนซี้ badego.bodega ประสบพบเจอมา

สำหรับช่างสักแล้ว Flash Tattoo ยังเป็นพื้นที่สำคัญที่เปิดโอกาสให้ศิลปินได้ ทดลอง ได้เล่น กับลวดลายในฉบับของตัวเองมากขึ้น

“ศิลปินหลายคนบอกว่ามันคือช่วงเวลาที่ได้ปล่อยของอย่างอิสระ ลายบางลายอาจเกิดจากความคิดที่ผุดขึ้นในเช้าวันนั้น ลายบางลายคือสิ่งที่อยากวาดมานานแต่ยังไม่มีโอกาส ส่วนผู้คนที่เข้ามาก็เหมือนได้ร่วมเล่นกับศิลปินในพื้นที่ที่ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก งาน Flash ในมุมหนึ่งมันคือพื้นที่ทดลองให้ช่างสักได้เอาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ออกมา รวมถึงมันก็เกิดพื้นที่ให้ลูกค้าหรือกลุ่มคนที่อยากจะสักได้เข้าถึงมันมากขึ้น” สุพิชญา กล่าว

ด้วยความที่ Badego.bodega มีความหมายว่าร้านชำ / ร้านโชว์ห่วย ทั้งคู่จึงอยากให้ฟังก์ชันของชุมชนนี้เหมือนกับร้านโชว์ห่วยที่มี ‘นู่น นี่ นั่น’ อยู่ในร้านเดียว

นอกจากรูปแบบลายที่หลากหลายจากช่างสักหลายคน พวกเขาเชื่อว่าศิลปะเองก็ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงแขนงเดียว การพางานสักไปปะทะสังสรรค์กับงานศิลปะแขนงอื่น ๆ ยิ่งจะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ และพาให้คนในสังคมเข้าถึงศิลปะประเภทต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

“อย่างที่เราเคยทำคือเราจะไป X กับวงดนตรีป็อปของยุคอย่างวง Dept วง Landokmai หรือกระทั่งการให้การจัดดอกไม้อยู่คู่กับงานสัก เราคิดว่าศิลปะแต่ละแบบมีความพิเศษของมัน แล้วมันจะดีกว่ามั้ยนะ ถ้าหลาย ๆ สิ่งมาอยู่รวมกัน นั่นจึงเป็นอีกคีย์หลักของโบเดก้า ที่พาทั้งผู้คน ทั้งช่างสัก ทั้งศิลปะ มาเจอกัน แล้วสิ่งใหม่ ๆ ก็จะเกิดขึ้น” อิสริยา กล่าว

ในบางงาน Flash Tattoo ถูกจัดเคียงข้างกับดนตรีสด บางครั้งอยู่ร่วมกับนิทรรศการภาพถ่าย หรือแม้แต่ในงานที่มีการแสดงสดของกวีและนักเขียน พื้นที่เหล่านี้ทำให้ผู้คนที่เดินเข้ามาด้วยเหตุผลอื่น ได้เข้าใจวัฒนธรรมการสักมากยิ่งขึ้น

“วัฒนธรรมงาน Flash ของงานสักมันก็สะท้อนยุคสมัยในบริบทหนึ่ง คือคนอยากออกมาหาพื้นที่ตรงกลาง หาพื้นที่ที่ได้เป็นตัวเขา ซึ่งความหมายก็ตรงตัวเลยคือความแฟลชมันจะเร็ว จะสั้น แต่มันเกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่การศิลปะงานสักเท่านั้น แต่เราว่าในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั้งดนตรี จัดดอกไม้ พับกระดาษ หรืออะไรต่าง ๆ มันจะเกิดการรวมตัวในลักษณะงานแฟลชบ่อยขึ้น” สุพิชญา กล่าว

เช่นเดียวกันในวันนี้ที่งานสักได้มาพบเจอกับงานเขียนในโพรเจกต์ ราตรีลุกไหม้ หนังสือรวมเรื่องสั้น บทความและบทกวีจาก 19 นักเขียน ‘ยามวิกาล’ ถ้อยคำระหว่างบรรทัดของนักเขียน ถูกขยายเรื่องราวเคล้าไปกับน้ำหมึกจากปลายเข็มของ 5 ศิลปิน tattoo ในชุมชนของ Badego.bodega เช่นกัน

“ในฐานะทีมออกแบบภาพประกอบ เรารู้สึกว่าหลายบทความเหมือนอ่านเจออดีตอะไรบางอย่าง บางประโยคมันจับใจเราเสียจนเห็นภาพตัวเองอยู่ในหนังสือ และเราก็เอามันออกมาเป็นงานสัก ในมุมหนึ่งมันเหมือนโชคชะตาเหมือนกันนะ มันเหมือนรอคอยให้แต่ละสิ่งแต่ละอย่างมาพบเจอกันในเวลาที่เหมาะสม และเราเชื่อว่าคนที่จะมาสักในงาน Bangkok Night Life ก็เช่นกัน มันจะไม่ใช่แค่งานสักหนึ่งลาย งานเขียนหนึ่งชิ้น หนังสือหนึ่งเล่ม แต่เราว่ามันจะเป็นความทรงจำที่วันนี้ ช่วงเวลานี้ เราใช้มันร่วมกัน” สุพิชญา กล่าว

แม้ Flash Tattoo จะเกิดขึ้นรวดเร็ว แต่สิ่งที่มันฝากไว้กลับยาวนานกว่านั้นเสมอ รอยสักเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่นาที อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ยาวเป็นปี บางครั้งมันคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนกลับมาเชื่อมโยงกับตัวเองอีกครั้ง เชื่อมโยงกับความทรงจำ และเชื่อมโยงกับสังคม

บางครั้งมันคือ ของขวัญให้ใครบางคนที่ไม่อยู่แล้ว หรือบางครั้งมันก็เป็นเพียงของฝากจากเรื่องราวที่ทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ

“รอยสักจริง ๆ มันอาจจะไม่ได้มีความสวย ความดี ที่เฉพาะเจาะจงขนาดนั้น เพราะแต่ละคนก็มีนิยามต่างออกไป แต่หลายครั้งที่เราสักเราก็พบว่าคนบางคน กับลายบางลาย ก็เหมือนรอวันพบเจอ บางครั้งมันกระตุกให้เขานึกถึงคนที่จากไป หมาแมวที่เคยร่วมใช้ชีวิต หรือกระทั่งบางความทรงจำที่เลือนหายไปกับกาลเวลา Flash tattoo ก็มีเรื่องราวแบบนี้ที่มันจะเกิดขึ้นได้เหมือนรอเวลามาพบกันมากกว่า” อิสริยา กล่าว

การเดินทางของน้ำหมึกและปลายเข็มที่พบเจอ ‘ตัวเอง’ ระหว่างทาง

ถึงความฝันของทั้งคู่จะดูมองไปไกล แต่กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่การหางานเป็นเรื่องยาก การที่ทั้งคู่ตัดสินใจออกจากงานประจำเพื่อมาทำสิ่งที่ตนรักก็ต้องเจอกับคำถามมากมายระหว่างทาง รวมถึงการตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกต้องแล้วหรือไม่

แต่ระหว่างคำถามมากมาย การสักก็พาให้ช่างสักทั้งสองแห่ง Badego.bodega ได้กลับมาเชื่อมโยงกับตัวเองอีกครั้ง

“การสักมันไม่ได้พาแค่คนที่ได้รับลายสักตระหนักถึงตัวเองมากขึ้นหรอก กระทั่งคนที่เป็นช่างสักเองระหว่างที่ได้คิดลาย ได้รับฟังเรื่องราวจากลูกค้า เราก็พาตัวเองเดินทางไปข้างในพร้อม ๆ กับเขา” สุพิชญากล่าวเสริมว่า นี่อาจจะเป็นสิทธิพิเศษอีกอย่างของอาชีพช่างสักที่พาไปรู้จักมนุษย์คนอื่น ๆ และมนุษย์ที่อยู่ไม่ไกลชื่อว่า ‘ตัวเอง’

ถ้าจะต้องให้นิยามความเป็นตัวเองที่พบเจอหลังจากมีชื่อสกุลห้อยท้ายว่า Badego.bodega อิสริยาเชื่อว่า คนคนหนึ่งมีหมวกหลายใบและไม่จำเป็นต้องให้บทบาทหรือหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งมากำหนดว่าเขาเป็นใคร เธอจึงเลือกจะให้นิยามตัวเองเพียงชื่อเล่นธรรมดา ๆ ที่พาเธอกลับไปหาตัวเองในจุดตั้งต้น ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่เธอทำหรือสร้างขึ้นมา

ความต้องการแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในอีกหลายเสียงของวงสนทนา ไม่ใช่เฉพาะในหมู่ช่างสัก หากแต่รวมถึงคนทำงานสร้างสรรค์แขนงอื่นด้วย เพราะในมุมมองของอิสริยาและสุพิชญา คน ๆ หนึ่งสามารถเป็นได้หลากหลายกว่าแค่อย่างเดียว การไปนิยามชัดเจนว่าตัวเราเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจกลายเป็นการสร้างกรอบให้ตัวเองเสียมากกว่า

สุพิชญา กล่าวเสริมว่า บางครั้ง การเลือกคำที่ใช้เรียกตัวเองอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วมันคือ การวางขอบเขตให้ชีวิต ว่าเราจะเติบโตไปทางไหน และจะไม่ยอมให้ใครขีดเส้นนั้นแทนเรา

ในขณะเดียวกัน สุพิชญา ได้อธิบายถึงจุดยืนของ Badego.bodega เธอเริ่มต้นจากการเป็นคนจัดงานหรือที่คนมักเรียกว่า eventer แต่ในวันที่เธอเดินลึกเข้าสู่โลกของศิลปะงานสัก การประคับประคองให้ชุมชนกลุ่มนี้ไปต่อได้จำเป็นที่จะต้องมองให้ไกลกว่าการจัดอิเวนต์เพียงหนึ่งครั้งให้ราบรื่น

“สิ่งที่โบเดก้าทำ อยากให้คนเรียกว่า community builder มากกว่า เพราะสิ่งที่เราอยากจะทำหรือกำลังทำมันอยู่ไม่ได้เป็นแค่การจัดอิเวนต์ แต่คือการเชื่อมโยง เชื่อมช่างสักเข้ากับช่างสัก เชื่อมช่างสักเข้ากับผู้คน เชื่อมศิลปะแขนงหนึ่งเข้ากับอีกแขนงหนึ่ง และเหนือสิ่งอื่นใดคือเชื่อมผู้คนเข้ากับความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับศิลปะการสัก” สุพิชญา กล่าว

Badego.bodega จึงไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ของหมึกและปลายเข็ม หากยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย ที่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการในการเข้าถึงหลายสิ่งในสังคม ทั้งพื้นที่ คอมมูนิตี หรือกระทั่งการปลดปล่อยตัวตน 

โดยเฉพาะ สุพิชญาและอิสริยาพบเจอระหว่างการเดินทางของ Badego.bodega คือการที่งานสักได้เชื่อมตัวตนของทั้งคู่อีกครั้ง การได้ออกมาทำอะไรด้วยตัวเอง ได้พบเจอกับสิ่งที่ชอบ และได้ตื่นมาพร้อมกับเสียงในหัวว่า ‘วันนี้ยังมีไฟอยู่’ คือการเชื่อมต่อที่สำคัญสำหรับทั้งคู่เช่นกัน ซึ่งอาจเป็นประสบการณ์ร่วมที่หลายคนในสังคมกำลังพบเจอ กับการค้นหาตัวเองใหม่อีกครั้งไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ตาม

“การลาออกจากงานประจำมาสักคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิต” เธอย้อนความทรงจำ “เพราะมันคือครั้งแรกที่รู้สึกว่า ได้เลือกเอง ลงมือเอง ทุกอย่างเป็นของเราเองหมด”

“มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” ทั้งคู่หัวเราะ

“จนถึงทุกวันนี้เองก็ตาม การที่ลาออกจากงานประจำมาทำร้านสัก เป็นใครก็พูดอยู่แล้วว่าดีเหรอ ปลอดภัยเหรอ จะดูแลตัวเองไหวเหรอ ซึ่งในความเป็นจริงบางเดือนเรามันก็แทบจะไม่มีรายได้เข้าเลย แต่มันต้องมีทางบ้างสิ ทางที่จะได้ทำสิ่งที่ชอบไปพร้อม ๆ กับหาเลี้ยงตัวเองได้ พอจุดหนึ่งมันเหมือนเราได้พบตัวเองอีกครั้ง ไม่สิ เหมือนรู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ชอบตัวเองเวอร์ชันนี้ มันเลยเจอที่ทางใหม่ ๆ และเราก็ไม่ได้อยากโตไปคนเดียว แต่มันต้องช่วย ๆ กันตั้งแต่กลุ่มไปจนถึงอุตสาหกรรม มันถึงจะไปกันรอด” สุพิชญา กล่าว

ชุมชน Badego.bodega สำหรับทั้งคู่แล้ว ที่นี่ น้ำหมึกและปลายเข็มไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางศิลปะ แต่เป็นสะพานเชื่อมโยงตัวตนของผู้คนเข้าด้วยกัน เป็นจุดนัดพบของความฝัน ความกลัว และความหวังของคนที่เลือกจะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง

ตัวตน-ความฝัน เมื่อ ‘ช่างสัก’ กลายเป็นอาชีพที่ ‘คนรุ่นใหม่’ ได้เลือกและเติบโต

ท่ามกลางเสียงเครื่องสักที่ดังเป็นจังหวะคุ้นเคยและกลิ่นหมึกที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ มีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เงียบ ๆ ในวงการศิลปะแขนงนี้ มันคือ การเปลี่ยนผ่าน จากอาชีพที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงงานเฉพาะกลุ่ม ไปสู่อุตสาหกรรม ที่มีพลังในการขับเคลื่อนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเกิดขึ้นทั้งกับผู้ผลิตและผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนี้

ในมุมของผู้ผลิตหรือช่างสัก ทั้งคู่เล่าว่า ในช่วงแรก วงการสักในไทยยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังมองรอยสักเป็นเรื่องเฉพาะตัว เป็นแฟชัน หรือแม้แต่เป็นเรื่องใต้ดิน แต่วันนี้มันไม่ใช่ ค่านิยมที่เปลี่ยนไปของการมีรอยสัก มันสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่จะแสดงตัวตนของผู้คน ซึ่งจำนวนมากนิยามมันผ่านรอยสัก ในส่วนนี้เองที่ทำให้งานสักนั้นค่อย ๆ ออกมาสู่บนดินมากขึ้นจนกลายเป็นค่านิยมในการแสดงอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลไป

“ในแง่หนึ่ง การพยายามดึงหลาย ๆ คอมมู ฯ เข้ามาร่วมกับงานสักมันทำให้ดึงคนอีกหลาย ๆ กลุ่มเข้ามาซึมซับวัฒนธรรมของงานสักได้ มันทำให้เห็นการเชื่อมโยงหลากหลายรูปแบบที่สุดท้ายหลายการเชื่อมโยงเหล่านี้จะเป็นรากฐานในการทำให้อุตสาหกรรมงานสร้างสรรค์ ซึ่งมีงานสักอยู่ในนั้นด้วยเติบโตขึ้นไปได้เรื่อย ๆ” อิสริยา กล่าว

กระบวนการ Connect ที่ Badego.bodega สร้างขึ้นไม่ได้แค่เปลี่ยนภาพจำของผู้คนที่มีต่อรอยสักเท่านั้น แต่ยังช่วยขยายฐานผู้ชม ฐานลูกค้า และฐานของคนที่อยากเข้ามาอยู่ในวงการนี้ให้กว้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนเห็นมากขึ้น คือทั้งวงการก็เติบโตตามไปด้วย จากที่งานของช่างแต่ละคนเคยถูกจำกัดอยู่ในกลุ่มแฟนคลับเล็ก ๆ วันนี้มันได้เดินทางออกไปไกลกว่านั้น ฐานลูกค้าขยายใหญ่ขึ้น ความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้น และอาชีพช่างสักก็เริ่มกลายเป็นเส้นทางที่คนรุ่นใหม่เลือกเดิน

“ถ้าอุตสาหกรรมมันเติบโต ช่างสักก็เติบโตไปด้วย” คือความเชื่อของทั้งสองคน เพราะการเติบโตไม่ได้หมายถึงเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการมีพื้นที่ให้ทดลอง พัฒนา และให้หลายคนได้มีลองออกเดินทางตามสิ่งที่ชอบ

แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้ราบรื่นทั้งหมด การสักในปัจจุบันยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องของการให้คุณค่าในสังคม

“แม้ว่าค่านิยมมันจะเปลี่ยนไป คือคนสักมันมีจำนวนมากขึ้น คนสักไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป แต่มันก็พูดยากว่าอาชีพนี้หากินดีหรือไม่ดี แต่เราว่าเรื่องมาตรฐานราคาอาจจะมาจากสังคมยังให้คุณค่ากับงานสักในอีกแบบหนึ่ง ทั้งในแง่ค่านิยมของคนที่มีรอยสักและในแง่ของงานสักคืองานศิลปะ” สิ่งที่ทั้งคู่พบเจอมาได้สะท้อนความจริงบางอย่างของสังคมไทยที่ยังมองศิลปะการสักเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่าจะเป็นงานศิลป์

ในความเป็นจริง รอยสักแต่ละชิ้นผ่านกระบวนการคิดอย่างละเอียด ต้องอาศัยทักษะ ความรู้เรื่องผิวหนัง และการรักษาสุขลักษณะอย่างเข้มงวด แต่ราคาของมันกลับมักถูกให้ค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

“ตัวอย่างชัดเจนคือในขณะที่การสักคิ้วอาจมีราคาสูงถึงหลักหมื่น แต่เมื่อต้องจ่ายให้กับศิลปินสัก บางคนกลับมองว่าราคา 1,500 บาทนั้น แพงไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีร้านบางแห่งทำราคาถูกมาก เช่น 500 บาท ก็ทำให้ราคากลางในตลาดต่ำลงไปโดยปริยาย และกระทบต่อทั้งคุณค่าและคุณภาพของงาน หรือกระทั่งบางร้านก็ก็อปลายไปขายกันดื้อ ๆ เลย ซึ่งมันทำให้เห็นว่างานสักจริง ๆ เป็นงานที่ต้นทุนสูง และหลายคนพยายามจะลบต้นทุนนั้น และทำให้สภาพตลาดของงานสักมันยิ่งแปรปรวน รวมถึงทำให้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ มันเกิดขึ้นได้ยาก” อิสริยา กล่าว

แม้จะเป็นความท้าทายที่หนักหนา แต่ทั้งคู่รวมถึงคนในวงการก็ยังคงมีความหวัง หากเศรษฐกิจโดยรวมเติบโตขึ้น ผู้คนมีศักยภาพในการใช้จ่ายมากขึ้น อุตสาหกรรมสักก็จะสามารถขยับตัวได้เต็มศักยภาพมากขึ้นเช่นกัน และที่สำคัญอาจช่วยลดปัญหาการคัดลอกงานที่เกิดจากความต้องการในราคาถูกได้ด้วย

ในมุมของผู้บริโภค หรือลูกค้าที่ต้องการสักลาย สิ่งที่ทั้งคู่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือพฤติกรรมของลูกค้า ที่เข้ามาหาศิลปินช่างสัก

บางคนเลือกสักเพราะ ‘มันสวย’

บางคนเลือกสักเพราะ ‘อยากมีงานของศิลปินคนนั้นไว้กับตัว’

บางคนสักเพื่อ ‘เยียวยา’ ตัวเอง แทนการทำร้ายร่างกายด้วยวิธีอื่น

รอยสักจึงกลายเป็นพื้นที่ของความหลากหลายทางตัวตน จากลาย abstract ที่สะท้อนความไม่ชอบความเป๊ะ ไปจนถึงลายมินิมอลที่บอกถึงความเรียบง่ายในชีวิต ทุกลายล้วนพูดถึงใครบางคนได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดแม้แต่คำเดียว

“เราคิดว่ารอยสักมันสะท้อนวัฒนธรรม ค่านิยม แล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ๆ อย่างยุคหนึ่งจะชอบสักลายแบบนี้ ทิศทางงานอาร์ตต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าอย่างเราที่เป็นช่างสักจะเห็นเลยว่าค่านิยมของการสักก็ต่างออกไป อย่างถ้า 5 ปีก่อน การจะสักลายหนึ่งต้องคิดนานมาก ต้องพิถีพิถัน ซึ่งมันทำให้เห็นว่าช่วงเวลาก่อนหน้าคนขบคิดกับการนิยามตัวเองค่อนข้างสูง แต่พอมาปัจจุบันเราคิดว่าคนตัดสินใจสักกันง่ายมากขึ้น ซึ่งมันเป็นค่านิยมที่ต่างออกไปของช่วงเวลา ยุคนี้คนอาจจะคิดว่าตัวฉันในวันนี้กับปีหน้าไม่เหมือนกันแล้ว ไว้ปีหน้าค่อยเพิ่มลายที่เป็นตัวเองเวอร์ชันนั้นก็ได้ หรือกระทั่งการสักลายเพื่อทดแทนการทำร้ายตัวเองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็มีมากขึ้นในยุคปัจจุบัน มันไม่ได้เห็นแค่ความชอบของคนในช่วงเวลานั้น ๆ แต่มันเห็นว่าสังคมมันเดินทางมาถึงจุดไหนแล้วด้วย” สุพิชญา กล่าว

แม้จะเดินทางมาระยะหนึ่ง แต่วงการช่างสักยังมีอีกหลายก้าวที่อยากจะไปให้ถึง และหนึ่งในสิ่งที่อิสริยาอยากเห็น คือวันที่ ศิลปะการสัก ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในระบบวิชาการ

สำหรับอิสริยา ภาพฝันนั้นคือการมีมหาวิทยาลัยสอนสักหรือคณะศิลปะการสักโดยเฉพาะ ซึ่งจะไม่เพียงช่วยให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เรื่อง anatomy ผิวหนัง หรือการใช้ยาอย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำให้ศิลปะการสักถูกยกขึ้นสู่ระดับเดียวกับแขนงอื่น ๆ ในสังคมและเมื่อวันนั้นมาถึง กฎหมาย ระเบียบ และระบบการจดทะเบียนอาชีพก็อาจก้าวตามไปด้วย เปิดพื้นที่ให้คนทำงานได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น

“ทุกวันนี้ช่างสักก็เรียนกันจากร้าน สอนเทคนิคกันต่อปาก แต่หลายประเทศก็เริ่มมีสถาบันที่สอนงานสักโดยเฉพาะเลยนะ ซึ่งเรามองว่ามันก็เหมือนโรงเรียนศิลปะแขนงหนึ่ง ที่ต้องอาศัยความรู้เชิงกายวิภาค เรียนรู้เทคนิคสีที่จะเข้ากับผิว มันเหมือนยกระดับทั้งในแง่ความปลอดภัยและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในงานศิลปะแขนงนี้” อิสริยา กล่าว

“มันจำเป็นจะต้องโตไปพร้อม ๆ กัน ถ้าเรามีช่างสักที่เก่งมาก ๆ แต่เขาไม่สามารถหากิน ไม่มีที่ทางในสังคม วันหนึ่งเขาก็ต้องเลิกไปทำอย่างอื่น ซึ่งอาชีพนี้มันก็เป็นอาชีพศิลปะประเภทหนึ่ง ปัญหาที่เจอก็อาจจะคล้าย ๆ กัน มันอาจจะต้องดันในหลายภาคส่วนในคนที่ชื่นชอบในอาชีพนี้ งานลักษณะแบบนี้ มีที่ทางที่มันจะเกิดเป็นงานสร้างสรรค์ประเภทใหม่ ๆ มากขึ้น” สุพิชญา กล่าวเสริม

ในอนาคตทั้งคู่อยากจะเห็นงานสักไม่เพียงแต่จะสักในสตูดิโอ สักบนผิวคน แต่การสักจะเป็นหนึ่งในเทคนิคการทำงานศิลปะ ซึ่งจะอยู่ในข้าวของชีวิตประจำวัน ที่ทุกคนก็เลือกที่จะหยิบเอามาใช้ และมีฟังก์ชันที่หลากหลายขึ้น

“อยากเห็นเหมือนกัน แบบสักกับกระเป๋าหนัง รองเท้าหนัง มันก็เป็นงานศิลปะอีกแบบที่ผู้คนเลือกจะหยิบใส่ในชีวิตประจำวันได้ โดยยังเป็นทั้งงานคราฟท์และงานครีเอทิฟที่ไม่เหมือนใคร” สุพิชญา กล่าว

จากคอมมูนิตีเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Badego.bodega วันนี้ศิลปะการสักได้เดินทางไปไกลเกินกว่าที่ใครเคยคิด มันกำลังกลายเป็นภาษาหนึ่งของยุคสมัยที่พูดถึงตัวตน ความสัมพันธ์ และความฝัน

วงการช่างสักในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของหมึก ปลายเข็ม และผิวหนังอีกต่อไป แต่มันคือการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน เชื่อมช่างสักถึงคนอยากสัก เชื่อมศิลปะแขนงหนึ่งไปถึงอีกประเภทหนึ่ง และเชื่อมค่านิยมบางอย่างของสังคมที่สะท้อนตามช่วงยุคสมัย มันจึงกลายเป็นงานศิลปะที่เมื่อพิจารณาให้ดี จะพบคุณค่าบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในน้ำหมึกเหล่านี้