แอมเบียนต์ชีวิตที่ ‘กลิ่น’ เดินทางไปพานพบ - Decode

แอมเบียนต์ชีวิตที่ ‘กลิ่น’ เดินทางไปพานพบ

Human & SocietyLife MattersYoung Spirit
Reading Time: 2 minutes

กลิ่น อาจบ่งบอกถึงตัวตนในการเริ่มต้นวันใหม่ในทุก ๆ เช้า บางขณะ กลิ่นก็พาไปค้นพบความหมายของชีวิต  กระทั่งสนิทชิดเชื้อกับความทรงจำที่หล่นหาย นั่นคือนิยามความหมายของกลิ่นสำหรับ เฟิร์ส – อชิตพล พานทอง ผู้ไม่ยอมนิยามตนเองว่าศิลปิน ให้เรียกขานสุคนธกร — นักปรุงน้ำหอม แห่ง Ashram Scent ซึ่งมีชื่อคล้องจองในภาษาไทยถึงอาศรมที่อบอวนไปด้วยกลิ่นที่ถูกปรุงจากจิตวิญญาณแห่งตน เมื่อท่วงทำนองของ Top note – Base note ปรากฏขึ้น กลายเป็นบทสนทนาว่าด้วย “แอมเบียนต์ชีวิต” ของคนที่โดดเดี่ยวแห่งยุคสมัย มาเจอกันในจุดนัดพบ (ก่อนราตรี) ณ วิภาวดีรังสิต

ใครหลายคนอาจนิยามการเป็นสุคนธกรว่าเปรียบเหมือนกับพ่อมด / นักปรุงกลิ่น แต่สำหรับเฟิร์สไม่มองการปรุงน้ำหอมเป็นเพียงเรื่องของคอมเมอร์เชียล ความหมายการออกแบบกลิ่นตามความตั้งใจในการออกแบบน้ำหอม คือต้องการให้กลิ่นเป็นหนึ่งในแอมเบียนต์ชีวิต ที่ไม่ได้ถูกปรุงขึ้นเพียงเพื่อความหอม-รสนิยม แต่ยังทำหน้าที่โอบรับตัวตนและจิตวิญญาณของเราเองที่รับรู้ถึงกลิ่นเหล่านั้น — ฉันอยู่ตรงนี้ 

ตราประทับของความทรงจำ ไม่ใช่แค่ความชอบ หรือถูกใจ

‘กลิ่นเป็นการตลาดที่ถูกที่สุด แต่ตราตรึงในความทรงจำของผู้คนมากที่สุด ผู้คนจะจดจำกลิ่นพร้อมกับภาพและเรื่องราวในความทรงจำ กลิ่นจึงทำงานกับความทรงจำได้ดีที่สุด’

จุดเริ่มต้นของการเข้ามาศึกษาศาสตร์ของกลิ่นด้วยความชื่นชอบและจุดอิ่มตัวในฐานะนักการตลาด เมื่อจริงจังและอยู่กับการแยกแยะกลิ่นในทุกวัน ทำให้เชื่อว่ากลิ่นจำแนกคนไม่ได้ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณกับรสนิยมที่ภาพและความนึกคิดหลังสูดดมกลิ่นช่วยให้เราหวนกลับมาอยู่กับตัวเอง สัญชาตญาณที่อยู่ภายในก็จะเด่นชัดเพื่อเยียวยาจากภายใน

“มนุษย์เมื่อตกอยู่ในห้วงเวลาของความมืดมิด สัญชาตญาณแรกของเราจะลนลาน แต่เมื่อหยุดนิ่งและกลับมามีสติ จะเห็นว่าร่างกายปรับตัวให้สายตาค่อย ๆ มองเห็นแสงสว่าง”

“สุดท้ายแล้วมันคือ ความซื่อสัตย์กับสัญชาตญาณตนเอง เมื่อตกอยู่ในความมืดมิดเราจึงจะรู้สึกว่าเรารักตัวเอง และสิ่งภายนอกต่าง ๆ ที่เราไปสัมผัส เป็นเพียงเครื่องมือของโลกที่ให้เราได้โอบกอด และนำทางเราไปตามสัญชาตญาณแท้จริง”

“ทำไมเราดมกลิ่นน้ำหอมแล้วเราร้องไห้ เพราะเรารำลึกถึงชีวิตวัยเด็กในจุดที่อ่อนแอที่สุด เศร้าที่สุด ในขณะเดียวกันก็ทะเยอทะยาน มีความอยากจะเป็นอย่างที่สุดในเวลาเดียวกัน”

“เรามีสถานที่หนึ่งที่เราจะไปอยู่กับมันในวันที่เราทุกข์ที่สุด มันจะเข้าไปซึมซับความเจ็บปวด ทำให้เราลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะ ตอนที่มีความกดดันกับธุรกิจที่เราเริ่มตั้งต้น บังเอิญได้เดินทางไปยังสถานีรถไฟซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับตอนที่เรานั่งรถไฟจากบ้านที่ต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ กลิ่นน้ำมันเหนียวเหนอะ และเสียงจักรล้อรถไฟมันยังคงเหมือนเดิมตอนที่เราจำได้ ว่ามันคือกลิ่นของความภูมิใจของเราในวันนั้น ที่ก้าวออกจากพื้นที่ในวัยเด็กเพื่อเติบโตขึ้น”

นอกเหนือไปจากเรื่องราวส่วนตัวที่ทำให้เห็นความลึกซึ้งของกลิ่น และความทรงจำ เฟิร์สยังได้ร่วมออกแบบกลิ่นจากการบันทึกเรื่องราว เพื่อหวนย้อนถึงเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฮิโรชิมา ร่วมกับศิลปินชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าว โดยเลือกใช้กลิ่นดอกไม้สีขาวกว่า 5 ชนิดที่ถูกเผาด้วยไฟ เพื่อสะท้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมากว่า 80 ปี พอศิลปินชาวญี่ปุ่นได้กลิ่นเขาก็บอกว่า มันคือสิ่งที่ทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในสงคราม เป็นสิ่งที่บอกกับเราว่า กลิ่นได้บันทึกเรื่องราวลงในความทรงจำ และถูกรื้อฟื้นใหม่อีกครั้ง เมื่อกลับมาสัมผัสกับกลิ่นที่มีความหมายในใจของแต่ละคน

สูดกลิ่น ‘ความจริง’ และกลิ่นที่หอมที่สุดในโลก

เราเคยถูกถามว่ากลิ่นไหนที่หอมที่สุด ในตอนที่มีโอกาสออกแบบกลิ่นในงานนิทรรศการเคลิ้มแดง 609 : ชีวิตจริงต้องโกหก ทำให้ได้พูดคุยกับหญิงโสเภณี หนึ่งในผู้คนที่ถูกมองว่าเป็นแรงงานมนุษย์ ถูกบังคับจากครอบครัวให้ต้องออกมาขายตัวด้วยความไม่เต็มใจ เธอพยายามทำทุกทาง เพื่อให้หนีออกมาจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น บ้างก็ปลอมตัวเป็นผู้ป่วยจิตเวช เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องกลับไปยังซ่องอีกครั้ง ทั้งหมดเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์คนหนึ่งที่พยายามทำให้สังคมเห็นว่า ใครก็ตามไม่ควรต้องถูกกระทำเช่นนี้ และเป็นที่มาของคำถามและคำตอบที่ทำให้เธอรับรู้ว่า กลิ่นที่หอมที่สุดในโลก คือกลิ่นของศีลธรรม กลิ่นของหยาดเหงื่อจากการตรากตรำทำงานที่ไม่ใช่โสเภณี กลิ่นของน้ำหอมสำหรับงานนั้นเขาปรุงด้วยกลิ่นตัวผสมกับความหอมท่ามกลางสถานที่สกปรก เพื่อสะท้อนว่า กลิ่นหอมต่อให้อยู่ในที่โสโครกขนาดไหน กลิ่นนั้นก็ยังหอมเสมอ

หลายคนอาจมองว่างานออกแบบกลิ่นของเราเป็นการกระแทกสังคม อาจเป็นเพราะเราเบื่อกับน้ำหอมที่พูดถึงเรื่องของตัวเอง เลยเลือกปรุงกลิ่นที่สะท้อนสังคมที่เหลื่อมล้ำสูง-ต่ำ เปิดเผยชนชั้นทางสังคมที่กำลังถูกกดทับ เฟิร์สเลือกปรุงกลิ่นและนำเสนอระหว่างความเป็นจริงกับสัญชาตญาณที่บิดเบี้ยว ว่าในหลายครั้งมนุษย์ก็ล้วนเติบโตจากความไม่หอมหวาน ทำให้คนรู้สึกว่า กลิ่นเหม็นไม่ใช่ว่าไม่ดีเสมอไป เพราะต่อให้เรารู้ว่ากลิ่นนั้นเป็นพิษ เราก็ยังคงสูดดม หากเราหลงใหลในกลิ่นนั้น

แต่สุดท้าย … มนุษย์ก็มักหลงใหลในความหอมหวาน เราจึงต้องปรุงกลิ่นให้มีความหอม

สุคนธกรจะทำงานผ่านกลิ่นระหว่าง Essential Oil กับ Fragrance ที่ส่งผลต่อการรับรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน Essential Oil คือกลิ่นความเป็นจริงตามธรรมชาติ มีผลต่อสารเคมีในสมองที่ทำให้รู้สึกสงบ เข้าไปรื้อค้นความทรงจำ และลึกลงไปถึงจิตใต้สำนึก ติดตรึงอยู่ระยะเวลายาวนาน ในขณะที่ Fragrance เกิดขึ้นจากเคมีประดิษฐ์ จับความหลงใหลของผู้คนได้ง่ายดาย จึงเป็นความธรรมดาที่เมื่อนำส่วนผสมทั้งสองมาปรุงร่วมกัน หลายคนก็อาจจะแยกไม่ได้ระหว่างความเป็นจริงและการปรุงแต่ง ในแง่หนึ่งคือเป็นเคมีในสมองว่าเราอยากรับรู้กลิ่นในรูปแบบใด และกลิ่นไหนที่มีผลต่อความรู้สึก และความทรงจำของตนเองอย่างไร

“กลิ่นนั้นบันทึกเรื่องราวไปจนถึงรื้อค้นจิตใต้สำนึก กลิ่นจะผันแปรไปตามความทรงจำ ประสบการณ์เดินทางในชีวิตของแต่ละคน ทำให้ความเข้มข้นของกลิ่นนั้นแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับศิลปินที่ปรุงกลิ่นก็จะมีเทสต์การปรุงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการรับรู้ที่แตกต่างกันออกไป การออกแบบกลิ่นจึงเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ

แต่เราไม่ใช่นักธุรกิจ เฟิร์สย้ำ เวลาทำงานออกแบบจึงต้องอาศัยการพูดคุยทำความเข้าใจกับความคิดและมุมมองซึ่งกันและกัน เราออกแบบน้ำหอมด้วยประสบการณ์กับสัญชาตญาณ ไม่ได้ถูกปรุงด้วยความสวย เพราะกลิ่นไม่ใช่แค่ความชอบ หรือความถูกใจ สำหรับเฟิร์ส กลิ่น คือพลังงาน เป็นแอมเบียนต์ที่เราจะได้กลิ่นเป็นคนแรกไม่ใช่ใครอื่น และอยากหยิบขึ้นมาฉีดน้ำหอมเพื่อความมั่นคงทางจิตใจของตัวเราเอง

มันเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำน้ำหอม คือการจดจ้องอยู่กับสิ่งที่เราทำ ได้อยู่กับตัวเองในระหว่างการแยกกลิ่น Top note Middle Base note ผสมผสานรวมกันเป็นน้ำหอมหนึ่งขวด วิธีการทำน้ำหอมไม่ยากในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ชั่งวัดทางเคมี แต่การออกแบบกลิ่นนั้นยาก ต้องทำทิ้งอยู่ซ้ำ ๆ จนกว่าจะได้กลิ่นที่ต้องการ เพราะการหยดเติมไปเพียงหนึ่งหยด ก็แปลงสัมผัสของกลิ่นให้เปลี่ยนไปเช่นกัน  

ในวันที่สังคมโหยหากลิ่นของความสุกสว่างในชีวิต กลิ่นน้ำหอมอาจเป็นตราประทับเพื่อยืนยันความจริงบางอย่างในชีวิต จนกระทั่ง “กลิ่นได้นำทางเราไปหาสัญชาตญาณที่จริงแท้ แม้ไม่อาจเปล่งเสียง” และหลายครั้งก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าราวกับการสันดาปหรือการเผาไหม้ที่ส่งกลิ่นกระตุ้นเตือนความทรงจำบางอย่าง บางขณะคุณอาจต้องการประคับประคอง เยียวยาทางจิตใจ ที่ท้ายที่สุดความขมปร่า อาจพร่ามัวและจางหาย เหลือไว้เพียงความทรงจำที่เคยผ่านมา เมื่อได้สัมผัสกับกลิ่นนั้นอีกครั้ง