คำนำจากนักอ่าน บทใหม่ของ JUST READ ที่ทำให้ ‘อ่านหมู่’ เป็นพื้นที่โอบรับความหลากหลาย
Reading Time: 3 minutesเริ่มจาก 5 คน จนขยายเป็น 120 คน คอมมูนิตี้นักอ่านที่กลายเป็นพื้นที่โอบรับทุกความหลากหลายในสังคม โดยมีหนังสือสักเล่มเป็นแกนกลางของความสัมพันธ์
“พี่เชื่อว่าหนังสือที่ดีเปลี่ยนแปลงคนไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
จากหนังสือที่ถูกส่งมาพร้อมกับเสื้อผ้าและข้าวของในบ้าน นานวันเข้า นานวันเข้า นานวันเข้า กลายเป็นจุดเริ่มของโครงการบริหารจัดการหนังสือมือสองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โครงการที่ตั้งชื่อยืดยาวตามขนบสำหรับขอทุน สสส. มาทำงาน แต่พี่หนูหริ่ง-สมบัติ บุญงามอนงค์ ผอ.มูลนิธิกระจกเงา ปักธงประกาศชื่อเพื่อให้โลกจำเพียง 3 คำ ‘อ่านสร้างชาติ’
ผู้เขียนถามกลับในทันที
Q : แล้วชาติในความหมายพี่คืออะไรคะ
A : เดี๋ยว ! ชาติในความหมายของพี่กับพี่หนูหริ่ง อาจจะคนละชาตินะ
เสียงหัวเราะดังขึ้น กลางวงลาบมื้อกลางวันของทีมงาน พร้อม ๆ กับตัวตนของจรัญ มาลัยกุล หัวหน้าโครงการอ่านสร้างชาติที่ปรากฏขึ้น ไม่ใช่แค่พี่จรัญ หรือจรัญคนต้นแบบตามฉายาที่คนสนิทมักคุ้นเรียกขาน แต่คือความฝันของหัวหน้าจรัญที่ว่า อยากให้มีโหนดรับ-ส่งหนังสือมือสองทุกที่ หรืออย่างน้อยก็ตามหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาค เพราะเชื่อว่าหนังสือดีมีอีกเยอะ แค่เอาหนังสือบริจาคจากทุกบ้านทุกมุมมาให้หมด เพราะถ้าทำให้หมดก็แปลว่าตัวเลขการอ่านจะเพิ่มขึ้น สังคมก็คงจะขยับไปอีกก้าว
ในชั่วชีวิตเรามันจะหมดหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ และดูเหมือนบางอย่างมันไม่สำเร็จในระยะเวลาใกล้ แต่เวลานี้นี่คือเป้าหมายหนึ่งของโครงการอ่านสร้างชาติ
เคลียร์ของสร้างบ้านใหม่, ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ, เจ้าของเสียชีวิต, เลิกลาเลิกรักกัน โล๊ะโกดังเพราะขายไม่ได้ หรือความประสงค์จากใจว่าอยากส่งต่อ ไม่ว่าด้วยเหตุผลไหน วันนี้มีหนังสือมือสองวันละประมาณ 6,000 เล่ม ส่งตรงมาที่มูลนิธิกระจกเงา
17 ปีของอ่านสร้างชาติหลังก่อตั้งโครงการในปี พ.ศ. 2551 คือจุดลงตัวของการประสานความต้องการจากผู้บริจาคและการส่งต่อให้ตรงตามความต้องการของผู้รับ ข้อค้นพบใหญ่ที่สำคัญที่สุดจากบริษัทเอกชนซึ่งทำโครงการ 5 ปี 11 ล้านเล่ม คือต้นทุนมหาศาลที่ใช้ไปกับการเคลื่อนย้ายหนังสือ ค่าจ้างรถขนจากบ้านผู้บริจาค ค่าเช่าโกดังเก็บ ค่าจ้างคนแพ็ก เอกชนที่ทำก่อนหน้าแม้เจตนาดีแต่ใช้เงินเดือนละเป็นล้าน แถมเกิดปัญหาว่าหนังสือบริจาคเหล่านั้นถูกส่งไปให้ผู้อ่านแต่ไม่ตรงกับวัยและความสนใจ
“ทั้งหมดพี่แก้ด้วยจิตอาสา และการคัดแยก”
ทุกวันนี้หน้าโกดัง คือการส่งต่อหนังสือ รับหนังสือ ขนหนังสือโดยจิตอาสา ส่วนหลังโกดังคือการจ่ายเงินเดือนละแสน จ้างงานคนไร้บ้านในโครงการจ้างวานข้า โอกาสของคนไร้บ้านที่จะสามารถตั้งหลักชีวิตได้เองอย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี
จ้างทุกวัน วันละ 4-5 คน ช่วยแยกกระดาษ แยกจับจั๊วออกจากหนังสือบริจาค แยกเพื่อเอาไปทำประโยชน์เพราะราคากระดาษแต่ละประเภทต่างกัน ส่วนการแยกประเภทหนังสือปล่อยให้เป็นหน้าที่นักอ่านอย่างพี่จรัญ
ปกชีท ปกเป็นจับจั๊ว กิโลกรัมละ 1-2 บาท ข้างในเป็นกระดาษขาวดำ กิโลกรัมละ 9 บาท ปกติพี่ ๆ หรือคุณลุงคนไร้บ้านจะฉีกกระดาษขาวดำได้ 100 กิโลกรัมต่อวัน ขายได้ 900 บาท เงินค่าจ้างที่จ่ายอยู่ที่ 500 บาทต่อวัน กำไรจากการขายกระดาษที่เหลือเข้ามูลนิธิกระจกเงา
“พี่ว่าวินวินนะ คนไร้บ้านได้งานได้เงินได้ตั้งหลักชีวิต มูลนิธิฯ ก็ได้ทุนไปบริหารโครงการต่อ แต่ถ้าเขาฉีกเกินร้อยโลล่ะ ตอนนี้ผู้คนมาบริจาคมากขึ้น เราได้สร้างงานให้คนมากขึ้น อาจมีบางคนที่ไร้บ้านมานานแล้วป่วย เขาก็มาทำงานกับเราได้นะ เพราะไม่ต้องใช้สกิลเยอะ เพียงแต่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ก็ต้องบริหารจัดการการทำงานกับเขาหน่อย ทำงานร่วมกับผู้ป่วยข้างถนน นำโดยพี่เอ๋-สิทธิพล ชูประจง”
“ส่วนคนหลังโกดังที่อ่านก็มี อย่างโส จบธรรมศาสตร์เลยนะ”
ไม่ว่าเป็นเพราะอะไรที่พัดพาโสมาเป็นคนไร้บ้าน แต่ที่แน่ ๆ วันนี้โสยังคงเขียนหนังสือ และชอบอ่านหนังสือมาก
แต่ละวันคุณลุงและพี่ ๆ คนไร้บ้านจะเข้ามาช่วยคัดแยกเบื้องต้น แยกสมุดบันทึก สมุดจดออกจากหนังสือ จากนั้นหนังสือทุกเล่มจะผ่านมือพี่จรัญ เพื่อทำการแยกประเภทจัดกลุ่มความเหมาะสมกับช่วงวัย เตรียมไว้สำหรับการส่งต่อ แต่เชื่อไหมทุกวันมีหนังสือดีและมีประโยชน์บริจาคเข้ามาไม่ถึง 10%
“ไม่เป็นไรเรารับหมด”
จุดยากของการบริจาคหนังสือ ไม่ใ่ช่ความกังวลว่าจะมีหนังสือส่งเข้ามาไหม แต่ปัญหาใหญ่คือการจัดการคัดแยก หลายสิบปีที่ผ่านมาโครงการอ่านสร้างชาติเกิดความเปลี่ยนแปลงมาเป็นระลอก ๆ แม้เปลี่ยนช้า ๆ แต่เปลี่ยนแปลงมาตลอด ภายใต้การท้าทายสังคมด้วยคำถามที่ว่า สังคมไทยเห็นคุณค่าของหนังสือจริงเปล่า ?
พี่จรัญเป็นเหมือนข้อต่อระหว่างผู้บริจาคและนักอ่านปลายทางที่เป็นผู้รับ ท้าทายความเชื่อเดิม ๆ ของคนสังคมไทยที่เชื่อว่า คนอ่านน้อยลง วงการหนังสือเติบโตช้า ช่างสวนทางกับภาพความจริงระหว่างเส้นทางสร้างชาติ
โดยเฉพาะระยะหลังมานี้มีหนังสือดีถูกส่งต่อเข้ามาเพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะผู้บริจาคเชื่อว่าเล่มนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ และคงเปลี่ยนแปลงชีวิตคนอื่นเช่นกัน
หลังหนังสือถูกจัดแจงคัดแยกประเภท การโทรคุยคือขั้นตอนที่พี่จรัญฉายเดี่ยว คุยทุกโรงเรียน คุยทั้งครู คุยทั้งผู้อำนวยการโรงเรียน คุยไปถึงจำนวนเด็ก ความต้องการและช่วงวัย บทสนทนาระหว่างคนตรงกลางกับคนปลายสาย ช่วยเพิ่มความชัดเจนของความต้องการ ‘ไม่ยัดเยียดให้คนรับ’ คือหลักการที่ถูกตั้งเป้าหมายไว้อย่างสง่างาม
และเพราะการขยายเมล็ดพันธุ์การอ่านเพื่อสร้างชาติมันไม่ง่าย ทุกวันนี้พี่จรัญจึงยังไม่หยุดค้นหาคำตอบ คำตอบของการส่งต่อหนังสือให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากที่สุด
“ปัญหาองค์กรที่รับบริจาคหนังสือส่วนใหญ่ คือคุณไม่ได้แยกหนังสือให้ตรงกับวัย เด็กเล็กต้องส่งอะไรไป เด็กโตต้องส่งอะไรไป คนในเรือนจำต้องอ่านแบบไหน พระเณรมีความสนใจแบบไหน เครือข่ายที่ทำงานกับเด็กทั้งในและนอกระบบอยู่ตรงไหนบ้าง คนที่เปราะบางคนที่ขาดแคลนจริง ๆ คือใคร เราต้องแยกแยะและรู้เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ส่งอะไรไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเหมือน เรามองไม่เห็นว่าผู้รับมีศักดิ์ศรีเท่าผู้ให้ ”
หลากฉากตอนในเส้นทางของโครงการอ่านสร้างชาติยังติดตรึงอยู่ในใจของพี่จรัญ อย่างงานมหกรรมเล่มละบาทซึ่งเดินทางไปเปิดท้ายขายหนังสือที่ต่าง ๆ วันนึงที่ตลาดนัดหน้าโรงงานเล็ก ๆ จ.ฉะเชิงเทรา ทีมงานขนหนังสือ 5,000-8,000 เล่ม ตั้งแผงวางแบขายรอคอยให้ผู้คนแวะเวียนไปจับจองเป็นเจ้าของหนังสือ บนหลักการบาทเดียวก็เป็นเจ้าของหนังสือได้ ได้นอนกอด นั่งอ่าน นอนอ่าน แบ่งต่อ แชร์ต่อ โดยไม่ต้องยืมจากห้องสมุด ด้านหนึ่งอาจเพราะประเทศนี้มีห้องสมุด ดี ๆ ไม่มาก
ภาพคุณยายคนนึงมาเลือกหนังสือนิทานกลับไปให้หลานที่บ้าน หลานที่ถูกพ่อแม่ทิ้งไว้เพื่อจำยอมต้องเดินทางไกลไปทำงานกรุงเทพฯ ยังคงอยู่ในใจ
ภาพในมหาวิทยาลัยที่นิสิต นักศึกษาเดินเข้ามาเลือกซื้อหนังสือเล่มละบาทแบบเต็มพื้นที่ ได้ทะลายกำแพงความคิดที่ส่วนมากมักพูดกันว่า นักศึกษาไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะความจริงมันคนละเรื่องกันเลย
“เดี๋ยวนี้คนเขาไม่อ่านหนังสือกันแล้ว พี่ไม่เชื่อ…เวลาเราไปทำกระบวนการเล่านิทานให้เด็กฟัง ทำไมเด็ก ๆ สนใจ ไหนบอกว่าเขาติดมือถือ พอพี่ไปทำกิจกรรมทำไมเขาสนใจฟัง ก่อนกิจกรรมเริ่มทำไมพี่เห็นเด็กแอบเอาหนังสือไปนั่งอ่านหัวมุมตึก มันมีภาพแบบนี้ทำให้เรารู้สึกว่า ไหนที่ว่าเด็กไม่อ่าน จริง ๆ แล้วมันอาจเป็นระบบนิเวศที่ผู้ใหญ่ไม่เชื่อต่างหาก แล้วผู้ใหญ่ก็ไม่อ่านหนังสือ เลยไม่รู้ว่ามันดียังไง มันมีคุณค่าต่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็กยังไง”
ส่วนลึกที่ติดค้างในใจ
“พี่ติดใจมากว่ามันเป็นอาชีพเฉย ๆ มันไม่ได้เปลี่ยนจริง ๆ ตามความตั้งใจโครงการฯ ในเชิงคุณภาพทุกวันนี้พี่โอเคแล้ว แต่เชิงคุณภาพยังคิดหาวิธีใหม่ ๆ อยู่ทุกวัน”
ภารกิจของอ่านสร้างชาติ ไม่ใช่แค่งานบริจาคและส่งต่อหนังสือมือสอง สร้างห้องสมุดให้โรงเรียนที่อยู่ไกลออกไปเท่านั้น แต่ยังวาดฝันถึงการมีอยู่ของร้านหนังสืออิสระในท้องถิ่น ทุกวันนี้หนังสือบริจาคจำนวนไม่น้อยถึงถูกส่งไปขายต่อ มูลนิธิได้ ร้านหนังสืออิสระได้ คนอ่านได้
“พี่ไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก มาเริ่มได้อ่านตอนมหาวิทยาลัย แต่มานั่งย้อนนึก เรามีเรื่องเล่าของพ่อแม่ที่เล่าให้ฟังก่อนนอน มันอาจไม่ตัวอักษรอาจจะเป็นมุขปาฐะ แต่อันนั้นเป็นนิทานของครอบครัวเรา ส่วนหนังสือก็พาเราไปเรียนรู้เรื่องของคนอื่นที่ไกลออกไป”
หนังสือที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของจรัญ มาลัยกุล คือข้าพเจ้าทดลองความจริง อัตชีวประวัติ เขียนโดย มหาตมา คานธี
เรื่องสั้น เรื่องแรกในฐานะนักเขียน ของจรัญคนต้นแบบ คือ เรื่องราวเกี่ยวกับ รปภ. เพราะตอนที่เขียนต้องเรียนรามคำแหงไปด้วย ทำงานกลางคืนไปด้วย และ รปภ. เป็นอาชีพพิเศษที่ทำให้ได้ใช้ความเงียบในช่วงกะดึกท่องโลกผ่านหนังสือ
“ประเทศเราไม่เหมือนประเทศอื่นนะ บางทีเข้าไปในมหาวิทยาลัยถามว่าวรรณกรรมคืออะไร ยังมีคนไม่รู้จักเลย คุณค่าของการอ่านในระดับจิตสำนึกธรรมดา มันไม่มี เพราะประเทศเราไม่ได้เติบโตมาแบบนั้น โครงสร้างใหญ่ก็ไม่ได้ผลักดันเรื่องนี้นะ อย่างญี่ปุ่นเขาคิดเรื่องนี้มา 20 ปีแล้ว จะบอกว่าเราเจอสงครามหลังจากนั้นจึงถีบตัวเองนะ จีนลงงบประมาณให้กับสถาบันการแปลไม่รู้กี่หมื่นล้านเพื่อแปลความรู้บนโลกใบนี้ให้พลเมืองจีนได้อ่านได้เรียนรู้
เขาทำแบบนั้นกันได้เพราะรัฐบาลเขาตั้งใจ โครงสร้างแบบตั้งใจ มันดูเหมือนกับบ้านเราไม่อยากให้พลเมืองมีความรู้มาก เดี๋ยวปกครองยาก ฉะนั้นคนที่หาอ่านเองจึงได้รู้ว่า เฮ้ยมันมีความงาม มีความจริงหลายเรื่องที่เราไม่รู้ มันนำบุคคลระดับปัจเจกไปสู่อิสระภาพที่แท้จริง”
หนังสือจะพาเราทั้งสังคมไม่ว่ารุ่นไหน อยู่ที่ใด ยากดีมีจนแค่ไหน หนังสือจะพาเราเดินทางไปพบกับอิสรภาพและเสรีภาพ อิสรภาพอันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครถูกพรากไป วรรณกรรม หนังสือ สามารถทำหน้าที่ปลดปล่อยอิสรภาพของมนุษย์ได้ แม้กระทั่งคนที่อยู่ในคุก
“มันโคตรสำคัญเลย มันไม่ใช่แค่ชีวิตนะแต่มันดีต่อจิตใจด้วย”
“ยังมีคนอ่านหนังสืออยู่ พี่ยืนยัน”
สิ่งที่มูลนิธิกระจกเงากำลังทำผ่านโครงการอ่านสร้างชาติคือการยืนยันว่า หนังสือบริจาคยังมีค่า เป็นช่องทางของผู้คนที่เห็นว่าการอ่านมีคุณค่า การอ่านสร้างสังคมได้ และจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากแค่การได้อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่มสามารถพัฒนาประเทศได้ ถ้าผู้นำชาติมีเจตจำนงจะให้ประเทศชาติพัฒนาได้จริง ๆ
อ่านสร้างชาติ กำลังสร้างหลักประกันทางความคิดภายใต้สังคมไทยที่ความเหลื่อมล้ำขยายวงกว้างไม่หยุดยั้ง ทำโดยไม่รอโครงสร้างที่พร้อม แต่สร้างความพร้อมขึ้นมาเองจากพลังงานของอาสาสมัคร คนไร้บ้าน และผู้บริจาคหนังสือทุกท่าน