คำนำจากนักอ่าน บทใหม่ของ JUST READ ที่ทำให้ 'อ่านหมู่' เป็นพื้นที่โอบรับความหลากหลาย - Decode

คำนำจากนักอ่าน บทใหม่ของ JUST READ ที่ทำให้ ‘อ่านหมู่’ เป็นพื้นที่โอบรับความหลากหลาย

Human & Society
Reading Time: 3 minutes

ไม่นานมานี้ ผู้เขียนเห็นภาพตลก (Meme) ของตัวการ์ตูนที่นั่งเซื่องซึมอยู่คนเดียวในร้านอาหาร ด้านบนของภาพมีประโยคที่เขียนว่า “อยากชวนคุยเรื่องหนังสือ แต่คนรอบตัวไม่มีใครอ่าน”

ยอดแชร์หลักร้อย ยอดคอมเมนต์อีกสามสิบกว่า อาจดูเป็นเสียงบ่นที่ไม่สลักสำคัญ แต่มุกตลกร้าย ๆ นี้กลับสะท้อนอีกมุมว่า ‘ไม่ใช่หนังสือไม่มีคนอ่าน แต่เราขาดพื้นที่ที่จะทำให้นักอ่านมาเจอกันต่างหาก’

“มันเหมือนเราได้อ่านหนังสือซ้ำอีกรอบหนึ่งนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กท่าทางคงแก่เรียนพูดขึ้น

ณ ร้าน House of Common ย่านตลาดน้อย รถยนต์เริ่มเบาบางลงเมื่อเข็มเส้นของนาฬิกาตีเลข 12 ชั้นแรกของร้านประดับประดาด้วยหนังสือเก่าและใหม่ งานศิลปะบางประเภท และกาแฟรสชาติดี แต่นอกเหนือไปจากนั้น บางครั้งชั้นสองของร้านก็นำมาใช้ทำเป็น ‘Book Club’ สำหรับคนที่อยากสร้างพื้นที่สำหรับนักอ่านหนังสือด้วยเหมือนกัน

เจ้าของภาพมีมและลูกค้าประจำชั้นสองและหนึ่งของ House of Common คือ เวฟ-สหัสวรรษ ธนสุขสวัสดิ์ เจ้าของเพจ JUST READ เพจหนังสือของคนรักหนังสือ ที่ขยับตัวมาสร้าง ‘คอมมิวนิตีนักอ่าน’ พื้นที่เล็ก ๆ เพื่อสังคมแห่งการอ่าน ซึ่งจุดหมายปลายหาใช่การทำให้ ‘ทุกคนต้องอ่าน’ แต่เป็นการ (ทดลอง) สร้างระบบนิเวศการอ่าน ที่ไม่ว่าใครก็สามารถลองทำได้

นิเวศของการอ่าน และการพูดคุย
เมื่อนักอ่านอยากคุย แต่ไม่มีที่คุยให้นักอ่าน

“ตอนนั้นหนังสือที่ดังมากเลยคือ Sapiens : A Brief History of Humankind เพื่อนอ่านเหมือนกันหมดเลยแล้วก็มาคุยกัน หนังสือเล่มเดียวเราคุยกันไป 4 ชั่วโมง แบบทำไมเราคุยกันได้สนุกขนาดนี้วะ เลยคิดว่าน่าจะลองจัดตั้งชมรมหรือกลุ่มกิจกรรมดู”

‘คุยเรื่องหนังสือแล้วสนุกว่ะ’ จุดเริ่มต้นง่าย ๆ ของสหัสวรรษที่พาให้เขาสนใจกับทำคลับสำหรับ คนอ่านหนังสือ เขาเล่าว่าแต่ก่อนเขาอ่านหนังสือตามวาระและโอกาสที่เหลือมาจากกิจกรรมเข้าสังคม ต่าง ๆ เช่น เล่นเกมส์ เตะบอล อยู่กับเพื่อน แต่เมื่อเข้าสู่วัยมหาลัยฯ กิจกรรมเหล่าก็ลดน้อยลง แทนที่ด้วยเวลาที่เขาสามารถอยู่กับตัวเองได้มากขึ้น ประจวบเหมาะกับที่แถวบ้านเต็มไปด้วย ร้านหนังสือ เขาก็เริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น ซื้อหนังสือมากขึ้น และกองดองเริ่มแน่นขนัด 

การระบาดของโควิด-19 ทำให้ช่วงเวลานั้นทุกคนจำเป็นต้องอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งนอกจากเรียนออนไลน์ เล่มเกมส์ ดูภาพยนตร์ เขาก็มีเวลามากพอที่จะไปหยิบหนังสือจากกองดองที่สะสมไว้มาอ่าน เมื่ออ่านมากขึ้น ๆ สหัสวรรษก็เริ่มมองหา ‘การพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่เขาอ่าน’ ซึ่งเพื่อนในมหาลัย ก็เป็นนักอ่านเช่นกันและสนใจแนวคิดคล้าย ๆ กัน เมื่อโรคระบาดเริ่มคลี่คลาย พวกเขาจึงจัด Book Club ครั้งแรกขึ้นใน “มหาลัย”

“มี 5 คน”

“จริง ๆ ต้องบอกว่าผู้จัดงาน 3 ผู้เข้าร่วม 2” เขาบอกพลางยิ้มเขิน ๆ

สหัสวรรษเล่าว่า Book Club ไม่ถือเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่มันอาจไม่ได้แพร่หลายเท่าไหร่นัก เขาตั้งข้อสังเกตว่าภาวะโรคระบาดอาจทำให้คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นนักอ่านตัวยงเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น ส่วนคนที่อ่านเยอะอยู่แล้วก็ต้องการพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนพูดคุย ช่วงสองสามปีหลังมานี้จึงเกิด วงสนทนาเกี่ยวกับหนังสือหรือ Book Club มากขึ้นในไทย ซึ่งพลวัตที่เกิดขึ้นคือไม่ได้มีแต่นักอ่านตัวยง เท่านั้นที่เข้าร่วมกิจกรรม แต่คนทั่วไปที่เพิ่งเริ่มอ่านหรือสนใจหนังสือก็เข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้เช่นกัน

แต่ถ้าย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เขาเพิ่งเริ่มต้น ก็ต้องอาศัยการปรับความเข้าใจกันในหลายมิติ สหัสวรรษเล่าว่า ในวันนั้นทั้ง 5 คนก็นั่งเฉย ๆ กันอยู่นาน เพราะว่าไม่รู้จะต้องเริ่มต้นอย่างไร แต่สุดท้ายก็ถูไถไปจนสำเร็จ หรืออีกส่วนหนึ่งคือทำความเข้าใจกับสปอนเซอร์หรือเจ้าของสถานที่ที่จะ ไปจัด Book Club เขาอธิบายว่าวงสนทนาแบบนี้ไม่สามารถหวังผลเรื่องกำไรหรือการกระตุ้นยอดขายได้ เท่าไหร่นัก

“จริง ๆ วันนั้นก็ใจแป้วเหมือนกัน แต่ที่ทำต่อก็เพราะได้สปอนเซอร์นั่นแหละ” สหัสวรรษเริ่มตกผลึกว่าการจำกัดผู้เข้าร่วม Book Club แค่นักศึกษาอาจจะไม่เข้าท่า ระหว่างทางของการจัดกิจกรรมพูดคุยเรื่องหนังสือ เขาก็ทำเพจเกี่ยวกับหนังสือไปด้วยในชื่อว่า “KU จะอ่านหนังสือ” โดย KU นั้นย่อมาจากม.เกษตรศาสตร์ แต่เนื้อหาในเพจไม่ได้มีเพียงแนะนำหนังสืออย่างเดียว แต่เขาหยิบเอาข้อมูลและสถิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหนังสือมาทำเป็น Infographic เพื่อสื่อสารเรื่องหนังสือในแง่มุมที่ต่างออกไป

เนื้อหาที่แปลกแหวกแนวนี้เอง ที่ทำให้สองเดือนหลังจาก Book Club วงเล็ก ๆ เขาได้รับการติดต่อจากสปอนเซอร์เจ้าแรกให้ไปจัดงานด้วยกันที่ร้านเครื่องเขียนและหนังสือชั้นใต้ดิน ของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง วันนั้นทำให้สหัสวรรษรู้ว่ามีคนที่สนใจหนังสือ และเข้าร่วมกิจกรรม แบบนี้อีกมาก แม้วันนั้นผู้เข้าร่วมอาจมากขึ้นราว ๆ 20 คน แต่นั่นก็เพียงพอที่จะพยุงความหวังของเขาต่อไป

“ก็หยุด ๆ ทำ ๆ ไปบ้างตามความหวังของตัวเอง ที่ยังทำต่อก็เพราะรู้สึกว่าอยากให้มันมีแหละ ถึงแม้ว่าบางทีจะเหนื่อยมาก ๆ กับการทำอะไรแบบนี้ แต่สุดท้ายเราก็คิดว่า มีดีกว่า ไม่มี” เขาบอก

วงการหนังสือเบ่งบาน การอ่านหมู่คือคอมมิวนิตี
ราคาและความหลากหลาย ยังเป็นกำแพงแห่งยุคสมัย

หลังเพจ KU จะอ่านหนังสือเปิดทำการได้ราวหนึ่งปี และความหวังที่จะทำระบบนิเวศนักอ่านของสหัสวรรษก็สุกงอมเต็มที่ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ (Rebranding) เพจให้กลายเป็น JUST READ เพื่อขยายกลุ่มผู้ที่สนใจไปให้มากกว่ากลุ่มนักศึกษา แต่ไอเดียของเด็กหนุ่มมหาลัยที่อยากสร้างพื้นที่คุยของคนอ่านยังตั้งมั่นอยู่แบบนั้น

กิจกรรมของ JUST READ ครอบคลุมทั้งการแนะนำหนังสือที่น่าสนใจ ทำ Walking Tour เดินตามรอยหนังสือ กิจกรรมต่าง ๆ ที่มีหนังสือเป็นแกนกลาง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ Book Club ที่ชื่อว่า ‘อ่านหมู่’ ซึ่งปัจจุบัน JUST READ มีสมาชิกที่อยู่ราว 120 คน กว่า 50 คนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลือก็มาตามฤดูกาล

สหัสวรรษเล่าว่าการจัด Book Club ตอนเป็น JUST READ ก็มีความต่างกับช่วงแรกอยู่พอสมควร จากเดิมที่มาร่วมกันอ่านและแลกเปลี่ยนกัน 3 ชั่วโมงและแยกย้าย แต่อ่านหมู่มีลักษณะเป็น ‘พื้นที่ทำกิจกรรม’ ที่คนมาร่วมกัน อ่านหนังสือยังคงมีอยู่ แต่จะเสริมกิจกรรมอื่น ๆ เข้ามาด้วย ซึ่งทำให้กิจกรรมกินระยะเวลานานกว่าเดิม แต่ก็ใกล้ชิดกันกว่าเดิม เขาเล่าว่ามีหลายครั้งกิจกรรมก็ล่วงเลยไปกว่า 10 ชั่วโมงจนร้านปิด บางคนก็อาจจะมานั่งอ่านหนังสืออย่างเดียว บางคนมานั่งเม้าท์ หรือจะมานั่งทำอะไรก็สุดแล้วแต่

“ผมรู้สึกว่าการจัดอ่านหมู่มันก็เหมือนกับการจัดงานสังสรรค์ แต่ละคนจะมีการจัดระเบียบตัวเองอยู่ระดับหนึ่ง ว่าเขาเข้ากับใคร อยู่กับใครได้บ้าง จะเข้าจอยกลุ่มย่อยไหน ซึ่งผมก็ใช้แนวคิดประมาณนี้ ว่าถ้ามาก็จัดการตัวเอง อยากคุยกับใคร อยากรู้จักใครก็ทำความรู้จักกันและกัน เพราะเราก็แค่เปิดพื้นที่ให้มารู้จักกันเฉย ๆ”

เวลาล่วงเลยมาหลายปี วงการหนังสือก็เบ่งบาน คนอ่านก็มากขึ้น สหัสวรรษมองว่าวงการหนังสือเติบโตขึ้นในระดับหนึ่ง เขาอธิบายว่าปัจจุบันเราจะเห็นหนังสือหลากหลายขึ้น ประเภทหนังสือที่ขายดีอยู่แล้วก็ขายดีขึ้น ประเภทที่เคยหายไปก็กลับมามีมุมวางบนชั้นหนังสือ กระทั่งมีคนจากนอกวงการ เช่น influencer นักอ่านหน้าใหม่ คนจากวงการเกม ศิลปิน กระโดดเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น 

แต่การเติบโตดังกล่าวก็ยังมีส่วนที่น่ากังวลเช่นกัน สหัสวรรษเริ่มแจกแจงทีละข้อจากการสังเกต หนึ่งคืออิทธิพลของสำนักพิมพ์ชั้นนำ เขาอธิบายว่าสำนักพิมพ์ชั้นนำมีอิทธิพลในการ ‘เลือก’ ซื้อหนังสือของนักอ่านผ่านประเภทของหนังสือ เขายกตัวอย่างว่าในเดือนหนึ่งมีหนังสือ How to หนังสือแนวพัฒนาตัวเอง หรือหนังสือแนวสืบสวนออกเยอะมาก ในทางกลับกันหนังสือแนววรรณกรรมอาจจะตีพิมพ์สามเดือนครั้ง ซึ่งเขามองว่าแนวทางดังกล่าวอาจทำให้ความหลากหลายของหนังสือในตลาดมีน้อย นักอ่านหน้าใหม่หรือนักอ่านเก่าแก่อาจไม่มีตัวเลือกในตลาดมากนัก และนั่นจะส่งผลเสียต่อนักเขียนหน้าใหม่ไปอีกทอด ว่าพวกเขาอาจไม่มีที่ทางบนชั้นหนังสือ

อีกปัญหาหนึ่งที่อยู่คู่วงการหนังสือ และเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น คือราคาหนังสือแพงขึ้นต่อเนื่อง ด้วยต้นทุนการผลิตหนังสือที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่ากระดาษ ค่าออกแบบปก ต่าง ๆ นานา สวนทางกับอัตราเงินเดือนของนักอ่านหลายคนที่อาจหยุดนิ่งมากกว่าขยับขึ้น รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้นอีก ทำให้อำนาจในการเข้าถึงหนังสือของคนเหล่านี้น้อยลงไปด้วย เขายกตัวอย่างหนังสือมังงะวัยเด็กของเขาอย่าง Attack on Titan ที่เมื่อก่อนเล่มละ 30 บาท แต่ตอนนี้ปาเข้าไปเล่มละ 90 บาทเลยทีเดียว

“เราหาเงินได้เท่าเดิม และเรากำเงินไปซื้อหนังสือ มันซื้อได้จำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ หลายปีก่อนซื้อได้สิบเล่ม ตอนนี้อาจจะเหลือสักเจ็ด ปีหน้าอาจจะเหลือหก … บางคนทำงานสายตัวแทบขาดถึงจะได้เงินที่สู้กับค่าครองชีพได้ มันเลยทำให้เขาต้องเลือกทำงาน เพื่อหาเงินไปมีชีวิตรอดต่อไป มากกว่าที่จะเอาไปซื้อหนังสือ” เขาบอก

แน่นอนว่าการยกเครื่องอุตสาหกรรมหนังสือจำเป็นต้องทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน แม้ไม่นานมานี้เราเพิ่งจะได้รับข่าวเศร้าว่า THACCA หรือ สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ไม่ได้ไปต่อในรัฐบาลภูมิใจไทย ซึ่งใน THACCA เองก็มีคณะทำงานเกี่ยวกับหนังสือด้วย สหัสวรรษมองว่านี่อาจจะเป็นหน่วยงานที่จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการประสานทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น สำนักพิมพ์ ตัวแทนจำหน่าย ร้านหนังสือ นักอ่าน กระทั่งนักเขียน เพื่อยกระดับวงการหนังสือต่อไป แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราคงต้องรอการปักหมุด (อีกครั้ง) ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยต่อไป

การมี ‘ระบบนิเวศการอ่านที่ดี’ ต้องรู้ว่าคนอยากอ่านอะไร
เมื่อสื่อสิ่งพิมพ์ตายได้ แต่ ‘ฐานข้อมูล’ ห้ามตายไปด้วย 

“ตายได้ครับ” เขาหัวเราะ

“เราน่าจะเห็นตัวอย่างจากหนังสือพิมพ์ นิตยสารไปแล้ว แต่หนังสือมันต่างออกไป มันคือความทรงจำ เป็นงานศิลปะอีกรูปแบบหนึ่ง ที่คนในอดีตเคยสร้างทิ้งไว้” เขาบอก

สหัสวรรษมองว่าหนังสือจะยังไปต่อได้อีกไกล ตราบใดที่ยังมีคนอ่าน และรักในหนังสือเล่ม แต่นั่นก็ต้องทำงานไปพร้อมกับนโยบายของภาครัฐเองด้วย เช่น การสนับสนุนต้นทุนการผลิตหนังสือ หรือการนำหนังสือพิมพ์ใหม่ส่วนหนึ่งเข้าห้องสมุดทันที ซึ่งอาจทำให้สำนักพิมพ์ที่กำลังผลิตไม่มาก มีความกล้าที่จะตีพิมพ์หนังสือใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น

แต่อีกส่วนหนึ่งที่สหัสวรรษมองว่าจำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง คือการทำ ‘ฐานข้อมูลหนังสือ’ เพราะนี่จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้คนมากมายที่แหวกว่ายอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ สามารถทำงานเกี่ยวกับหนังสือต่อไปโดยไม่อดตายไปซะก่อน

เขาพาย้อนกลับไปช่วงที่ค้นคว้าหาข้อมูลตอนทำเพจ KU จะอ่านหนังสือ เขาบอกว่าขณะนั้นปี 2020 ซึ่งเขาสามารถหาข้อมูลย้อนกลับไปได้เพียงปี 2018 เท่านั้น และข้อมูลนั้นก็ไม่ลงลึกไปถึงพฤติกรรมการอ่านการซื้อ มีหนังสือประเภทต่าง ๆ เท่าใดในตลาด ทำให้ข้อมูลเพียงน้อยนิดไม่สามารถใช้อ้างอิงกับสปอนเซอร์ หรือผู้ที่เขาจะร่วมงานด้วยได้ เช่นเดียวกับร้านหนังสือขนาดเล็กต่าง ๆ การที่พวกเขาไม่สามารถค้นคว้าข้อมูลเหล่านี้ได้ ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่า ผู้อ่านหน้าใหม่เพิ่มขึ้นแค่ไหน อัตราการซื้อหนังสือเป็นอย่างไร มีคนอ่านหนังสือประเภทต่าง ๆ ที่ร้านจัดพิมพ์หรือจัดจำหน่ายอยู่มากน้อยแค่ไหน หากร้านค้าหรือสำนักพิมพ์ขนาดเล็กมีข้อมูลเหล่านี้ เขามองว่าจะทำให้ประหยัดต้นทุนการผลิตไว้ได้ 

“ถ้าหนังสือเล่มหายไป อย่างน้อยทุกอย่างก็คงต้องอยู่ในรูปแบบดิจิตอลเนอะ ให้มันอยู่ในรูปแบบที่เราสามารถเข้าถึงมันได้ หนังสือเสียงไหม หรือ E-Book หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมขอให้ข้อมูลทางปัญญาตรงนี้ยังอยู่ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อคนอ่านมหาศาล” เขาบอก

ตลอดการทำงานเกี่ยวกับการอ่าน สหัสวรรษก็เคยคิดเหมือนกันว่า อยากให้พื้นที่นักอ่านที่เขาสร้างขึ้นเติบโตมากกว่านี้ อาจจะมีสมาชิกอยู่พันคนอะไรเทือกนั้น ทว่าเมื่อตกผลึกมาเรื่อย ๆ ขนาดกลับไม่ใช่คำตอบ แต่เป็น ‘ความต่อเนื่อง’ ในการจัดกิจกรรม ในฐานะคนจัด Book Club แล้ว เขามองว่างานนี้จำเป็นต้องเสียสละอยู่พอสมควร เพราะไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมมานั่งดูแลคนกลุ่มหนึ่งอ่านหนังสือ ต้องจัดต่อเนื่องทุกเดือน และอาจจะแลกกับเงินจำนวนไม่มากนัก ซึ่งบางคนก็มองว่านี่ คืองานประจำอีกงานหนึ่ง 

ผู้เขียนถามว่า หาก JUST READ เป็นหนังสือ How to create a book club สักเล่ม บทแรกของหนังสือจะเป็นเรื่องอะไร เขาบอกว่าก็คงไม่พ้นเรื่อง ‘คน’ เพราะการสร้างคอมมิวนิตีมันเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงระหว่างคนในกลุ่ม ซึ่งหากเราสามารถสร้างความประทับใจให้กับกลุ่มได้ มันก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เครือข่ายนั้นแข็งแรง แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าหากคนหลุดออกไปจากกลุ่ม หมายความเราสร้างกลุ่มที่ไม่ดี แต่อาจเพียงเพราะคน ๆ นั้นไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มเราเท่านั้นเอง ดังนั้นการสร้างคอมมิวนิตีให้ยั่งยืนและปลอดภัยจึงเป็นพันธะกิจที่ควรทำ

สหัสวรรษมองว่า ปัจจุบันหลายคอมมิวนิตีก็ต่างให้ความสำคัญกับประเด็นข้างต้นอยู่พอสมควร เพราะหลายครั้งกิจกรรมไม่ได้จัดอยู่แค่ในร้านหนังสือ แต่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น  Co-Working Space ร้านกาแฟ หรือสตูดิโอทำงานศิลปะ นิยามของ Book Club ก็ลื่นไหลไปตามความชอบของผู้จัด ดังนั้น ‘พื้นที่สำหรับนักอ่าน’ ที่สหัสวรรษเคยถวิลหาในตอนแรก จึงขยายตัวไปมากกว่าเดิม กลายเป็นพื้นที่สามารถโอบรับทุกความหลากหลายต่าง ๆ ในสังคม โดยมีหนังสือสักเล่มเป็นแกนกลางของความสัมพันธ์เท่านั้นเอง

“ระบบนิเวศการอ่านที่ดีสำหรับพี่เป็นยังไง” ผู้เขียนถาม

“ให้มันเป็นงานอดิเรก เป็นภาพที่เห็นแล้วเป็นเรื่องธรรมดากับการที่ใครสักคนอ่านหนังสือตามที่สาธารณะ หรือทุก ๆ ครั้งที่มีเวลาว่าง ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน” เขาตอบ