อ่านสร้างชาติ
Reading Time: 2 minutesความรุ่มรวยทางภาษาและคลังศัพท์เป็นกุญแจในการเข้าใจความเป็นมนุษย์ ที่สำคัญคือทำให้ผู้อ่านในการรับมือกับความเป็นไปของโลกและความยากลำบากของการมีชีวิตอยู่
หนังสือ การเมือง และชีวิตคนทำงานในยุคที่การอ่านยากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านร้านดาวแดง
ในตึกเก่าย่านตลาด อตก. ร้านขายของเก่าและกรุสมบัติของนักล่าพระเครื่อง ตามทางเดินที่อบอวลไปด้วยกลิ่นพริกกระเทียมจากร้านอาหารตามสั่ง คนพลุกพล่านจอแจ เสียงเหรียญกระทบถาดสแตนเลสจากแถวหน้าห้องน้ำสาธารณะ หากเดินเลยไปอีกไม่กี่ก้าว ก่อนจะถึงประตูห้องน้ำ จะมีแผงเล็ก ๆ แน่นไปกองหนังสือมือสองวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ที่ถูกจัดวางลงอย่างดี วรรณกรรมเก่า หนังสือการเมืองและประวัติการต่อสู้ของชนชั้น ในร้านหนังสือเก่า ดาวแดง

ตำแหน่งการตั้งร้านเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากการวางคอนเซ็ปต์เชิงศิลปะอะไรเป็นพิเศษ เหตุผลง่ายกว่านั้นมาก ลุงอากรเจ้าของร้าน ตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเวลามีคนถามว่าทำไมถึงเลือกตรงนี้ ร้านหนังสือของเขาไปโผล่อยู่หน้าห้องน้ำก็เพราะ “ค่าที่มันถูก”


พูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มพร้อมเล่าที่มา ตรงนี้คนผ่านไปผ่านมาเยอะดี ลุงไม่ค่อยชอบเรียงใส่ในพวกตู้ใส่มันเบ็ดเสร็จไป แบบนี้ลุงจะได้มาจับหนังสือบ่อย ๆ จัดเรียงเองทุกเล่ม ชอบให้คนมารื้อ ๆ ค้น ๆ ดู ให้คนได้ใช้เวลากับมัน บางเล่มที่เขาไม่เคยเห็นมันก็จะผ่านตา บางคนอยู่เป็นชั่วโมง คนมาดูลุงก็มีกำลังใจ มีคนมาคุยเล่นด้วย

แผงหนังสือทำงานด้วยจังหวะของการเดินผ่าน เพราะมันอยู่ตรงนั้น และเพราะมันเปิดให้มือหยิบได้ทันที ความเป็นแผงทำให้หนังสือไม่ถูกเก็บไว้ในระยะห่าง แต่ถูกวางให้ เข้าถึงได้ด้วยร่างกาย แตะได้ พลิกได้ ลองอ่านได้ ตรงนี้คือการเข้าถึงแบบพื้นฐานที่สุด ไม่ต้องมีแผน ไม่ต้องมีความพร้อม แค่มีเวลาเล็ก ๆ ระหว่างเดินผ่านก็เริ่มอ่านได้ การเปิดให้รื้อค้น คือหัวใจของการเข้าถึงในแบบของแผง เพราะการรื้อทำให้คนอ่านไม่จำเป็นต้องรู้จักหนังสือล่วงหน้า เราไม่ต้องรู้ว่าควรเริ่มตรงไหน แค่ไล่มือไปทีละเล่ม เปิดดูทีละหน้า ใช้เวลาอยู่กับมัน บางคนอยู่เป็นชั่วโมง การอ่านจึงไม่ใช่การตัดสินใจแบบทันทีว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ แต่มันเป็นกระบวนการค่อย ๆ เจอสิ่งที่ไม่เคยเจอ
ที่น่าสนใจคือแผงไม่ได้ถูกจัดให้เรียบร้อย เบ็ดเสร็จด้วยตู้ใส่หรือระบบที่ล็อกตำแหน่งหนังสือไว้ตายตัว การไม่ทำให้มันปิดจบแบบนั้นทำให้ การเข้าถึงหนังสือ มีชีวิต เพราะหนังสือถูกหยิบจับอยู่ตลอดเวลา ถูกจัดเรียงใหม่ทีละเล่ม ถูกย้ายกอง ถูกสลับตำแหน่ง ทำให้หนังสือประเภทอื่น ๆ มีโอกาสไปอยู่ต่อหน้าคนที่อาจไม่เคยเจอภาษาแบบนี้มาก่อนในชีวิตประจำวันเลย การเจอ ผ่านตา แบบไม่ตั้งใจหลายครั้งเป็นต้นเหตุที่สามารถเปลี่ยนอะไรหลายอย่างได้ สำหรับบางคน การอ่านไม่ได้เริ่มจากความสนใจเรื่องการเมือง แต่มันเริ่มจากการหาคำอธิบายให้ความเหนื่อย ความจน ความติดขัดที่แบกอยู่คนเดียวมานาน
มุมหน้าห้องน้ำทำให้ดาวแดงเหมือนถูกผลักไสให้อยู่ชายขอบของพื้นที่ตลาด แต่ในอีกด้าน มันก็ทำให้คนแปลกหน้าที่แค่แวะเข้าห้องน้ำ เผลอสบสายตากับปกหนังสือประวัติศาสตร์การต่อสู้ หรือวรรณกรรมเก่า ๆ ซึ่งไม่ค่อยโผล่ในห้างสรรพสินค้า หรือตามร้านหนังสือชั้นนำมากนัก

ร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือแรงงาน หนังสือวรรณกรรม หนังสือที่บันทึกเลือดเนื้อของคนทำงาน เจ้าของร้านบอกว่าร้านของเขามีลูกค้าหลักเป็นนักศึกษา อาจารย์ และคนทำงานชนชั้นกลาง ขณะที่แรงงานที่หนังสือเหล่านี้เขียนถึง กลับอ่านไม่ถึง ด้วยเหตุผลตรงไปตรงมา คือ เงิน เวลา และชีวิตประจำวัน

ก่อนจะมีร้านดาวแดง ลุงอากรเป็นเด็กจากครอบครัวต่างจังหวัด เข้ากรุงเทพฯ มาหางานทำตั้งแต่ยังวัยรุ่น
ช่วงอยู่บ้านนอกแทบไม่มีโอกาสจับหนังสืออะไรจริงจัง หนังสือที่อยู่ใกล้มือที่สุดคือหนังสือพิมพ์รายวันกับหนังสือการ์ตูน เนื้อหาการเมือง เรื่องการศึกษาชนชั้นและโครงสร้างสังคม แทบไม่เคยโผล่มาในชีวิตประจำวันเลย จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนที่เขามีโอกาสได้เข้ามาที่กรุงเทพ ช่วงเหตุการณ์เดือนตุลา 2516 ที่ถนนเต็มไปด้วยผู้ชุมนุม และข้างม็อบเรียงรายไปด้วยหนังสือราคาถูกที่เล่าเรื่องการต่อสู้และข้อเรียกร้องของคนอีกกลุ่มในสังคม
“ช่วงนั้น ชอบไปดูเขาชุมนุม เวลาเขามีม็อบมีชุมนุมอะไร ถ้าว่างจากงานเราก็ไปหมด ตอนนั้นช่วงประชาธิปไตยเบ่งบาน พวกหนังสือการเมืองหนังสือที่เราไม่เคยเห็นเนี่ย เป็นจุดใหญ่ที่ทำให้เราได้ลองอ่าน พวกคาร์ล มาร์กซ์ หรือนักคิดนักเขียนคนใหม่ ๆ หรือหนังสือแนวคิดของอีกฝั่งหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนั้นหนังสือถูกมาก 10 บาท 5 บาท 3 บาทยังมีเลย เรามีโอกาสได้อ่านก็ตอนนั้น ”
หนังสือกับบรรยากาศม็อบก็เปิดมุมมองใหม่ให้คนงานคนหนึ่ง ที่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปแตะเรื่องใหญ่ ๆ ในสังคมการเมืองในวันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่บนเวที แต่มันเกิดขึ้นใน ระบบกระจายความรู้ด้วย แผงหนังสือข้างถนนลดกำแพงของร้าน ลดความเขินอาย ลดเงื่อนไข ทำให้การหยิบอ่านเป็นเรื่องธรรมดา และทำให้คนที่ไม่เคยเจอภาษาของ ชนชั้น กับ โครงสร้าง มาก่อน ได้พบว่าความลำบากของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่มาพร้อมโชคชะตา มันมีที่มา มีชื่อเรียก และมีคนที่ต่อสู้กับมันอยู่จริง ๆ

“ลุงก็คนทำงานธรรมดานี่แหละ เริ่มจากไม่รู้ห่าอะไรเลย แต่ช่วงนั้นมันผ่านการอ่านหนังสือ คบหากับเพื่อนที่ชอบอ่านหนังสือ เลยทำให้เรากลายเป็นคนชอบอ่านหนังสือไปเลย”
เขาบอกตรง ๆ ว่าไม่ได้อ่านปรัชญาฝ่ายซ้ายลึกมาก อ่านแล้วก็ยังมีส่วนที่ไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เขาได้จากการอ่านคือความรู้สึกว่า แนวคิด ตรงจริต ตัวเองในฐานะคนทำงาน
“ลุงชอบแนวสังคมนิยม เพราะมันทำให้คนรู้จักลุกขึ้นมาสู้เพื่อปากท้องตัวเอง… ในชีวิตประจำวันเราก็เห็นอยู่ว่าคนงานโดนเอาเปรียบเยอะ”
จากคนที่ไม่ได้มีความรู้อะไรมาก่อน ตามคำพูดของเขาเอง การอ่านทำให้เขาเริ่มเรียบเรียงโลกใหม่ ผ่านภาษาและประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ใช่ผ่านคำอธิบายของผู้มีการศึกษาที่มองแรงงานจากด้านบนลงมา

หลายสิบปีหลังจากนั้น ชีวิตต้องหักเลี้ยวอีกครั้ง เมื่อเขาถูกเลิกจ้างจากงานประจำที่ทำมานาน สิ่งที่เหลืออยู่ในมือคือกองหนังสือที่สะสมมาเต็มบ้าน
“ก่อนหน้านี้ลุงทำงานประจำ แต่ตกงาน… เราอ่านหนังสือเยอะ เพื่อนที่รู้จักกันสมัยเด็กใต้เขาขายหนังสืออยู่ ก็เลยลองถาม ลองสังเกตุวิธีเขาทำกัน โพสต์เฟซยังไง ถ่ายรูปปกให้ครบ เรียนรู้ใหม่หมดเลย ทำใหม่ ๆ ก็ขายไม่ค่อยดี”
จากคนอ่านต้องกลายเป็นคนขายที่เริ่มจากการเรียนรู้วิธีตั้งแผง วิธีถ่ายรูปหนังสือแบบที่ทำให้คนอยากหยุดดูในหน้าฟีดเฟซบุ๊ก การค่อย ๆ สะสมลูกค้าประจำ และการเข้าไปออกงานหนังสือ เพื่อให้คนจำหน้าได้ เมื่อร้านตั้งตัวได้ระดับหนึ่ง เขาอยากมีชื่อร้านของตัวเอง
“ตอนนั้นก็คิดไว้หลายชื่อเลย แต่จะให้ตั้งชื่อร้านหนังสือนายอากร มันก็เชยนะ ร้านหนังสือดาวแดงนี่แหละ คนเขาจะจำ… เข้ากับแนวหนังสือที่ขายด้วย”

เมื่อถามว่าถ้านึกภาพลูกค้าที่เข้าร้านหรือทักมาซื้อประจำ ส่วนใหญ่เป็นคนแบบไหน ลุงใช้เวลานึกอยู่สักพัก
“พวกนักศึกษา อาจารย์มาบ่อย คนทั่วไป ลูกค้าขาจรไม่ค่อยมี”
คำตอบสั้น ๆ นี้ ทำให้ภาพหนังสือแรงงานขยับตัวนิดหน่อยจากสิ่งที่เราคิดว่าเป็น หนังสือที่เล่าการต่อสู้ของคนทำงาน คนตัวเล็ก ในชีวิตจริงกลับไม่ได้หมุนอยู่ในมือแรงงาน คนธรรมดาเท่าไรนัก แต่ไปอยู่ในชั้นหนังสือของนักศึกษา คนทำงานสายความรู้ คนที่มีเวลาว่างมากกว่า และมีทุนวัฒนธรรมมากพอที่จะสามารถเข้าถึงหนังสือได้
“คนทั่วไป ลูกค้าขาจรมันไม่ค่อยมี เพราะ ปัญหาเศรษฐกิจ ทุนทางการเงิน ทางเวลามันก็กันคนไม่ให้เข้าถึงหนังสือ เขาไม่มีสำรองจะมาจับจ่ายซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นในมุมมองเขา… ขนาดข้าวที่คนกินทุกวัน แม่ค้าขายข้าวแกงยังเจ๊งเลย”
ในโลกที่ค่าครองชีพบีบคอ การซื้อหนังสือหนึ่งเล่ม โดยเฉพาะหนังสือการเมืองที่ไม่ได้เกี่ยวกับงาน คือความฟุ่มเฟือยสำหรับคนจำนวนมาก ยิ่งถ้าเป็นคนค่าแรงขั้นต่ำ หรือคนที่อยู่แบบเดือนชนเดือน การซื้อหนังสือเล่มละสองสามร้อยบาทขึ้นไป คือการยอมสละเงินค่าข้าวหลายมื้อ ลุงเองก็รู้ว่าร้านตัวเองไม่ได้ตั้งราคาถูก การตั้งราคาหนังสือขึ้นอยู่กับต้นทุนที่ซื้อมา ความหายาก คุณภาพกระดาษ สภาพปก ฯลฯ
เขาเล่าว่าเมื่อก่อนเคยขายแพงกว่านี้ ก่อนจะค่อย ๆ ปรับราคาลงให้ เข้ากับสภาพเศรษฐกิจ และความอยู่รอด มากขึ้น
“เมื่อก่อนยอมรับว่าขายแพงกว่านี้ นี่ลุงก็ปรับตัวขายราคาที่มันถูกลง ใครขอต่อราคามาเราก็ให้ต่อถ้ามันสมเหตุสมผลและเราอยู่ได้ เราเห็นคุณภาพและคุณค่าหนังสือในตัวของมันเอง ห่อปกใหม่ ทำความสะอาดเองด้วย… เกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของหนังสือที่ร้านมันก็เป็นของสะสมของเราเอง”
หนังสือที่เขารู้สึกผูกพันในฐานะกำลังใจที่หล่อเลี้ยงอุดมการณ์ ต้องถูกแปรรูปเป็นสินค้าราคาสูงพอสมควร เพื่อให้ร้านอยู่รอดได้ในระบบตลาดปัจจุบัน
“หนังสือบางเล่มมันเป็นกำลังใจให้เรา คอยหล่อเลี้ยงอุดมการณ์ กว่าจะหาได้มันยาก… บางเล่มไม่อยากขายเลย แต่ไม่มีตังค์ก็ต้องขาย จำใจอ่ะ”
เราเห็นว่าการเข้าถึงหนังสือการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องของการมีอยู่ของร้านหนังสือประเภทนี้เพียงเท่านั้น แต่คือระบบทั้งก้อนของค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงทำงาน และสวัสดิการที่สนับสนุนทางวัฒนธรรมการอ่าน ที่ประเทศนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก
ห้องสมุดคนงาน ที่แทบไม่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน

“เข้าถึงลำบากนะ ห้องสมุดคนงานมันไม่ค่อยมี สหภาพใหญ่ ๆ ก็ไม่แน่ใจว่ามีไหม หรือที่มี เราก็ไม่รู้ว่ามันคือหนังสืออะไรที่เขามีให้อ่าน… อยากให้มีพื้นที่หรือสหภาพที่เข้มแข็ง มีศูนย์ฝึกอบรมที่มีห้องหนังสือแนวนี้ หรือ แนวอื่น ๆ บ้าง คนงานทั่วไปเข้าไปได้”
แรงงานที่สนใจการเมืองจึงต้องพึ่งพาความบังเอิญและแรงเหวี่ยงของชีวิตมากกว่าระบบสนับสนุนเชิงโครงสร้างการเมืองของแรงงานจำนวนมากจึงไม่ได้เริ่มจาก หลักสูตรอบรม แต่เริ่มจากประสบการณ์เหล่านี้ การถูกเอาเปรียบเรื่องค่าจ้าง การเห็นเพื่อนร่วมงานถูกเลิกจ้างแบบไม่เป็นธรรม แล้วมีใครสักคนพูดคำว่า สิทธิแรงงาน ให้ได้ยิน หรือการได้หยิบหนังสือบางเล่มขึ้นมาอ่านเพราะมันวางอยู่ตรงนั้นพอดี ทั้งหมดนี้คือการพึ่งพาความบังเอิญในชีวิตประจำวัน มากกว่าการมีอยู่ของระบบที่ตั้งใจออกแบบมาให้คนได้เรียนรู้และตั้งคำถามกับโครงสร้างที่กดทับตัวเองอยู่ ระบบสนับสนุนเชิงโครงสร้างไม่ทำหน้าที่ เมื่อรัฐที่ไม่ลงทุนกับการศึกษาทางการเมืองของผู้ใช้แรงงาน สหภาพแรงงานที่อ่อนแรง หรือองค์กรนายจ้างที่มองการพูดเรื่องสิทธิแรงงานเป็นภัยคุกคาม ทำให้ความสนใจการเมืองของแรงงานถูกทำให้กลายเป็น เรื่องส่วนตัวของแต่ละคน…

เล่มที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ เส้นทางสังคมไทย ลุงอากรแนะนำเล่มนี้ไม่ใช่ในฐานะหนังสือประวัติศาสตร์แบบท่องจำอย่างที่เราเคยอ่าน แต่ในฐานะประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ที่ค่อย ๆ ถูกทำให้เลือนหายไปจากสายตาคนทั่วไป
ลุงอากรนิยามตัวเองว่าเป็นประชาชนธรรมดาที่คอยเอาใจช่วยการต่อสู้เหล่านั้น และเขาเชื่อว่าการจดจำผ่านการอ่าน คือวิธีหนึ่งที่จะทำให้คนที่เคยต่อสู้ไม่ถูกลืมและย้ำว่า พวกเขาเคยมีตัวตนจริง ๆ อยู่ในสังคมนี้
ในสายตาของคนขายหนังสือและนักอ่านคนหนึ่ง ลุงอากรมองว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้มีเส้นเดียว และไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเดียว ถ้าจะพูดถึง เส้นทางสังคมไทยมันมีการแทนภาพให้ใครถูกยกชูขึ้น ใครถูกลดทอนเป็นเงา ถูกเล่าว่าเป็น ผี เป็น คนบ้า เป็นภัยต่อชาติ จวบจนความรุนแรงการเกิดขึ้นของรัฐประหาร หรือการปฏิรูปทั้งหลายกลายเป็นอีกเส้นเรื่องที่ถูกเล่าซ้ำ ๆ จนเราชินกับชุดความจริงแบบหนึ่ง ทั้งที่มันแทบไม่เคยถูกตีแผ่เต็ม ๆ ว่าประชาชนได้อะไรและใครได้ประโยชน์มันโยงใยให้เราได้ตระหนักถึงคนที่ร่วมต่อสู้ รวมถึงคนที่ตายเป็นใครกันแน่ เลือดที่หลั่งบนแผ่นดินเป็นเลือดของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ถูกทำให้อยู่ในรูปแบบของความเสียสละ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ลุงอากรย้ำว่าการอ่านไม่ใช่เรื่องของความชื่นชอบในตัวเนื้อหาในแนวหนังสือนั้น ๆ เพียงอย่างเดียว แต่มันคือการทวงคืนพื้นที่ของประวัติศาสตร์ที่เคยถูกลบไป

เมื่อคุยเรื่องอนาคตร้านดาวแดง ลุงอากรยอมรับตรง ๆ ว่าปัจจัยหลักที่เขาอาจขายต่อไม่ไหวคือเศรษฐกิจ ทั้งค่าครองชีพของตัวเอง และกำลังซื้อของลูกค้า
“ปัจจัยหลักก็เรื่องเศรษฐกิจ คนมันไม่ค่อยมี รายได้เราก็ลด… แต่ลุงยังเชื่อว่า มันต้องฟื้นฟูได้ ตราบใดที่มีคนอ่าน หนังสือมันก็ยังอยู่ได้”
ในเวลาเดียวกัน ลุงพูดถึงบรรยากาศการเมืองร่วมสมัยที่พื้นที่การชุมนุมถูกจำกัด การถือโทรโข่งกลางสนามหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเมื่อก่อน พื้นที่โต้เถียงในที่สาธารณะถูกทำให้เล็กลงเรื่อย ๆ

“ในชั่วชีวิตมันต้องเรียนรู้ตลอด ตอนนี้ลุงก็เรียนรูัตลอดที่จะเอาชีวิตให้อยู่รอด”
“การมีอยู่ของร้านมันเป็นเรื่องของการหาเลี้ยงตนเองกับการส่งต่ออุดมการณ์ที่เราเชื่อ ก็ยังมีความหวังตลอดถึงทำมัน”
สำหรับคนอ่านอย่างเรา ๆ ที่อาจเดินผ่านแผงหนังสือนี้ไปเข้าห้องน้ำโดยไม่คิดอะไรมาก
คำถามที่เหลืออยู่หลังจากฟังลุงเล่า คือเราอยู่ตรงไหนในนิเวศนี้กันแน่
เป็นคนทำงานที่ถูกกันออกจากนิเวศหนังสือ เพราะค่าจ้างขั้นต่ำและความไม่มั่นคงในชีวิต
เป็นนักอ่านชนชั้นกลางที่มีอภิสิทธิ์พอจะ สะสม และเข้าถึงหนังสืออีกรูปแบบหนึ่ง
หรือเราแค่คนที่เดินผ่านหนังสือการต่อสู้ของคนตัวเล็กไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับออกมาใช้ชีวิต โดยไม่เคยหยุดมองว่าปกหนังสือบนชั้นเก่า ๆ ตรงนั้น กำลังบันทึกใครบ้างที่ถูกลืมอยู่ข้างใน