ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม
วีรพร นิติประภา
เวลาล้างจานจะชอบนึกไปถึงป้าขายข้าวแกงแถวบ้านคนหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ป้าแกแหละเป็นคนทำอาหารกับเวลาขายก็จะมีสามีมาช่วยกันตักราดข้าวที่หน้าร้าน มีเหมือนกันบางทีที่ลูกสาวจะมาช่วยด้วย แต่ไม่ทุกวัน เหมือนคนลูกจะทำงานอื่นอีกกับมีลูกเล็ก ๆ ต้องดูแล
ป้าตอนสาว ๆ คงจัดว่าเป็นคนสวยทีเดียว ผิวสองสี คมเข้ม ดวงตาแน่วแน่เป็นประกาย น่าจะเป็นคนใต้ดูจากหน้าตากับบางเมนูที่หากินได้แต่ในร้านข้าวแกงใต้ อย่างไก่ผัดใบยี่หร่า ไข่พะโล้ขาหมูใส่ผักดอง แกเป็นคนเงียบ ๆ…เงียบแบบไร้เสียง ไม่เคยถามลูกค้าถามว่าจะกินอะไร แค่ถือจากข้าวยืนจ้องหน้านิ่ง ๆ พอบอกหรือชี้ช่องไหน แกก็จะตักราดส่งให้เงียบ ๆ นาน ๆ ทีถึงจะพูดสักคำพอให้รู้ว่าแกไม่ได้เป็นใบ้ คำเดียวจริง ๆ …ลุง แล้วก็ชายหางตาไปที่โต๊ะไหนสักโต๊ะใบ้ให้ลุงเดินไปเก็บตังค์
ผิดกับลุงเป็นคนท่าทางนักเลง ร่าเริง ช่างอัธยาศัย ยิ้มร่า ถามไถ่ ช่างพูดช่างคุย บางทีก็หยอกเล่นกับลูกค้าหนุ่ม ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขาประจำและทำงานที่โรงผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไม่ไกล
บ่ายโมงลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทก็จะรีบกลับไปทำงาน พอคนซาป้าก็จะทิ้งลุงให้ตักอาหารคนเดียวที่หน้าร้าน แล้วเดินไปล้างจาน ตอนนั้นที่เป็นตอนน่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครล้างจานพิถีพิถันเท่านี้มาก่อน เริ่มจากแกจะค่อย ๆ กวาดเศษอาหารทิ้งใส่ถังจนเกลี้ยง ล้างผ่านน้ำทีละใบรอบหนึ่งก่อนวางในกะละมัง แล้วค่อย ๆ ใช้ฟองน้ำและน้ำยาล้างจานถูวนด้านหน้าสองรอบ หลังสองรอบ แล้ววนกลับมาด้านหน้าอีกสอง ช้อนก็เหมือนกัน พอมาส้อมก็จะขัด ๆ ทั้งหน้าทั้งหลัง จากนั้นก็บีบฟองน้ำให้ปลิ้นเข้าไปตามซอกซี่ พลิกหน้าพลิกหลังรูด ๆ ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งจากนั้นถึงจะแช่ลงในกะละมังน้ำ จนหมดก็จะหยิบขึ้นทีละชิ้นทีละอันเอามาล้างผ่านน้ำไหลอีกรอบ ก่อนจะเช็ด วางผึ่งในตะกร้าทีละชิ้น
มันเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ สงบ เงียบงัน และท่วงท่าประณีตของแกก็ดึงดูดใจมาก น่าจดจำมาก ๆ
มาทีหลังโรงงานญี่ปุ่นที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ว่าก็ปิด ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ร้านไม่ได้ขายดีเหมือนเก่า แต่ก็ยังพอถูไถไปได้ค่าที่อยู่มานาน จนพอมาโควิด-19 ตั้งแต่รอบแรกเมื่อสองปีก่อนก็ไม่ได้แวะไปกินที่ร้านแกอีก เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปอีกทีเมื่อตอนเปิดโควิดรอบนี้หลายเดือนก่อน แล้วถึงรู้ว่าร้านปิดเลิกขายไปแล้ว
คนแถวนั้นบอกว่าป้าผูกคอตาย ประมาณแกป่วยไข้เป็นอะไรสักอย่าง ซึ่งก็คงไม่พ้นมะเร็ง ไม่ก็โรคเรื้อรังหรือโรคจิตเภทบางโรค ยังเห็นลุงเดินผ่านอยู่หน ตามลำพัง ดูแก่ชรา และเดียวดาย แต่แล้วก็หายไปอีกคน
แล้วก็อดสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้ …ชีวิตคนจนช่างเปราะบางเหลือเกิน
ถ้าไม่ยากจน คุณไม่มีทางจะเข้าใจได้หรอกว่าวลีที่ว่า ‘ไม่รู้หน้าจะหันไปทางไหน’ แปลว่าอะไร คุณมีเพื่อนมีฝูงมีญาติพี่น้อง…แน่นอน คนจนก็มีเหมือนกันแต่โอกาสจะพบปะสนิทสนมก็คงไม่มากเท่า ยิ่งเป็นคนต่างจังหวัดในเมืองกว้างใหญ่ขนาดเมก้าที่รถราติดขัดตลอดเวลา ยิ่งมีร้านไม่ค่อยได้ไปไหน ไปที่ไม่เคยไปคือหลงยิ่งกว่าหลง และยิ่งกว่านั้นทุกคนยังไม่ค่อยมีเวลาหรอก ต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว
แล้วเพื่อนฝูงญาติมิตรของคนจนก็ยังมักยากจนทัดเทียมกันจะบากหน้าหาใคร จะไปพึ่งพาเบียดเบียนกันก็ใช่ที่ เผลอ ๆ เวลาเป็นอะไรเขายังไม่เอ่ยปากบอกใครด้วยซ้ำ รังแต่จะทำให้เป็นห่วงกันไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ จะช่วยเหลือกันก็ใช่ว่ามี ทุกคนมีภาระความลำบาก
วันไหนต้องไปหาหมอก็คือไม่ได้ทำงานหรือขายของ ร้านต้องหยุด ขาดรายได้ ถ้าต้องผ่าตัดหรือนอนโรงพยาบาลก็คือต้องหยุดไปหลายวัน ลูกค้าก็หายหมดอีก หลายคนบัตรรักษาพยาบาลยังระบุตามภูมิลำเนาเอาด้วย ซึ่งดูเหมือนจะได้ยินว่าเพิ่งเปลี่ยนให้เข้ารับรักษาได้ทุกที่เร็ว ๆ นี้เอง แต่ไม่แน่ใจเงื่อนไข และไม่แน่ใจว่าคนทั่ว ๆ ไปได้รับข่าวสารทั่วถึง
ที่แน่ ๆ คือป่วยไข้นอกจากจะไม่มีรายได้ ยังมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาก ไหนจะค่ารถค่ารา ค่ายา ค่าหมอ หนักหนาต้องให้ลูกหลานเพื่อนฝูงพาไป…ทีนี้ก็ต้องคูณสองคูณสามเงินที่หายไปกันเลยทีเดียว ค่าครองชีพสูงปรี๊ดในค่าแรงต่ำเตี้ยอย่างในกรุงเทพฯ ไม่อนุญาตให้ใครขาดงานได้ทั้งนั้น เงินเก็บสำรองก็มีกันนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ต้องพูดถึงคนที่ต้องมาเจ็บป่วยเอาในยามรัฐบาลสั่งปิดทุกอย่างทั้งเมืองและทุกคนกำลังลำบากเลือดตากระเด็นอยู่ อย่างมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะอยู่กันอย่างไร และอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่
…คนจนน่ะ เวลาเป็นอะไรคนหนึ่งก็จนขึ้นอีกกันทั้งบ้าน
ถ้าไม่ยากจน คุณก็จะไม่มีวันเข้าใจวลีที่ว่า ‘ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม’ ก็ดูชีวิตที่ผ่านมามันก็ไม่เคยจะมีอะไรหรูหรา ทำมาหาได้แค่พอเอาตัวรอดอยู่ได้จำกัดจำเขี่ยไปวัน ๆ บ้านก็ซอมซ่อ คับแคบ แออัด รถราก็ไม่มี ไปไหนทีครึ่งค่อนวัน แถมยังไม่รู้จะไปไหน ห้างใหญ่ ๆ ทุกอย่างก็ล้วนราคาแพง เสื้อผ้าก็ใช้มือสองใช้แล้ว ไม่ก็ของถูกฉูดฉาดโละโรงงาน โลกของคนจนไม่ได้สวยงามบันเทิงมากมาย ไม่ได้สนุกสนานอะไรนักหนา อยากได้อะไรก็ไม่ได้ อยากมีอะไรก็ไม่มี
ที่อยู่ ๆ มาก็อยู่เพื่อคนอื่นมาตลอด ตอนอายุน้อย ๆ ก็อยู่เพื่อดูแลพ่อแม่ พ่อแม่ไม่อยู่แล้วไม่มีภาระก็อยู่เพื่อลูก พอลูกโตก็ไม่เหลืออะไรให้พะวงอยู่เพื่อมากนัก ประคับประคองชีวิตรอดไปตามบุญตามกรรม โดยไม่ได้มีเป้าหมายยิ่งใหญ่อย่างประสพความสำเร็จในชีวิตหรือแสวงหาความสุขบั้นปลาย ได้ท่องเที่ยวจะหวังร่ำรวยได้บ้างก็คงหวังลม ๆ แล้ง ๆ เอาจากเล่นหวยบางงวด พอป่วยไข้ ทำงานไม่ได้ก็จะต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ
เป้าหมายชีวิตยังไม่มี ไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องให้มีกำลังใจหรอก ขนาดร่างกายดี ๆ ยังลำบากมาทั้งชีวิต
ถ้าไม่เคยจน คุณก็ไม่มีทางเข้าใจวลี ‘ตายดีกว่า’ หรอก ตายจะดีกว่าอยู่ได้อย่างไร ก็อย่างที่บอก เมื่อทุกอย่างมันพอดีพออยู่พอกิน ไม่มีขาดไม่มีเกิน มันก็แทบไม่มีที่เหลือในชีวิตให้อะไรผิดไป แล้วคนจนก็ลำบากจนให้ทนลำบากหาหมอกินยาผ่าตัดรักษาตัวก็ไม่ไหว ยิ่งถ้ามาเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายอย่างมะเร็ง ไต เบาหวาน ความดัน หัวใจ
ยิ่งกว่านั้น คนที่ทำงานตลอดเวลา ชีวิตไม่มีอะไรมากไปกว่าทำงาน ๆ พอให้มาทำงานไม่ได้ ต้องอยู่แต่ในห้องเล็ก ๆ อุดอู้ กินแต่ยา ไม่รวมความเจ็บปวดวนไปวนมา ไม่รวมติดมาก คิดวนไปวนมา
…บางทีตายก็อาจจะดีกว่าจริง ๆ
ที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะนึกไปถึงที่เคยได้ยินคนพูด ๆ กันโดยเฉพาะหมอ ๆ ที่ว่าสามสิบบาทรักษาทุกโรคทำโรงพยาบาลขาดทุนบ้าง คนไม่เป็นไรมากก็จะมาหาหมอพร่ำเพรื่อบ้าง ละเลยสุขภาพจนเสื่อมโทรมก็แห่กันมาหาหมอบ้าง ความเจ็บไข้ได้ป่วยมีมิติ มีอะไรมากกว่าแค่การเสื่อมสลาย บั่นทอน มันยังทำลายล้างทั้งครอบครัวและสังคม
ไม่ควรมีใครเลือกความคิดที่ว่าตายดีกว่าอยู่