ค่าไฟที่ไม่เป็นธรรม ยังคงเป็นคำถามของต้นตอปัญหาของค่าไฟ ‘แพง’ ที่ไร้คำตอบ ซึ่งหลักใหญ่ใจความ มีต้นเหตุมาจากปัจจัยอยู่หลายประการ เช่น โครงสร้างราคาค่าไฟ โครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้า การลงทุนในระบบพลังงาน และการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด นี่จึงกลายเป็นต้นตอของปัญหาค่าไฟแพงที่วิทยากรต่างแสดงทรรศนะในงานเสวนา ‘PDP2024 ความเงียบสู่ราคาค่าไฟแพง การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และการลงทุนที่ประชาชนไม่มีเสียง’ De/code หยิบยกเหตุผลและข้อท้าทายในวงเสวนาฯ เพื่อถอดบทเรียนว่า ถ้าอยากเดินหน้าสู่ยุคที่ค่าไฟ ‘เป็นธรรม’ ประเทศไทยปรับตัวสู่พลังงานสะอาด และเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เรากำลังติดกับดักอะไรและจะเดินหน้าต่ออย่างไร

เปลี่ยนผ่านไปสู่ แผนดี ค่าไฟ ‘ถูก’
รศ.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดประเด็นด้วยวาระของ ‘การเปลี่ยนผ่านพลังงาน’ เพราะว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานถูกพูดถึงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราพยายามจะเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียน แม้ว่าจะทำให้หลายหลายคนก็กังวลว่าราคาค่าไฟจะแพงขึ้น แต่อาจารย์ชาลีเชื่อว่า “ถ้าเกิดว่าเรามีแผนที่ดี การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะทําให้ค่าไฟถูกลงด้วยซ้ำ”
อ.ชาลี มีข้อเสนอลดค่าไฟ ดังนี้:
-เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน : อ.ชาลีเชื่อว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (เช่น แสงอาทิตย์ ลม) จะทำให้ราคาค่าไฟลดลงได้ เพราะจะเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนต่ำกว่า.
-การปรับโครงสร้างระบบไฟฟ้า : มีการเสนอให้มีการปรับโครงสร้างทางการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงพลังงานในราคาที่ถูกลง โดยอาจจะให้มีการขายในราคาที่ต่ำกว่าในบางกรณี
-เพิ่มการจัดการแบบ Smart Grid : การใช้เทคโนโลยีสมาร์ตกริดที่จะช่วยในระบบการสั่งไฟฟ้า โดยช่วยในการปรับปรุงการจัดการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดต้นทุนการผลิตได้.
-สนับสนุนแหล่งพลังงานกระจายศูนย์ : แนะนำให้มีการพัฒนาพลังงานจากจุดกระจายทั่วพื้นที่ เช่น การติดตั้งเซลล์โซลาร์เซลล์บนหลังคาในชุมชน ซึ่งสามารถช่วยให้เข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้นและลดความพึ่งพาแหล่งพลังงานใหญ่ ๆ
-การประมูลเพื่อไฟหมุนเวียน : มีแนวทางในการจัดการประมูลไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้มีการนำไฟฟ้าจากแหล่งนี้เข้ามามากขึ้น

ดอน ทยาทาน อุปนายกสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ชวนเปิดประเด็นด้วยไม่ใช่การตั้งคำถามว่าค่าไฟแพงหรือไม่แพง จริง ๆ แล้วเราต้องตั้งคำถามว่า ค่าไฟเป็นธรรมหรือไม่
“ถ้าเกิดถ้าตามไปดูรัฐธรรมนูญก็จะบอกว่าไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งประเทศ ทีนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นใคร 50 ถึง 70% เป็นผู้มีรายได้น้อยถึงค่อนข้างน้อย เพราะงั้นไฟฟ้าจำเป็นสําหรับเขามาก”
แต่ถ้าเราถามว่าค่าไฟแพงหรือไม่แพง “เราถามใครล่ะ ถามเอกชนที่เข้ามาลงทุนเขาก็จะตอบว่าไม่แพง พอ ๆ กันแหละกับเวียดนาม แต่มันเป็นธรรมกับประชาชนรึเปล่า”
ดอน มองว่ายังไม่เป็นธรรม ถ้าจํากันได้ตอนสมัยก่อน ตอนที่ EGATทําไฟฟ้าเอง EGAT เป็นหน่วยงานรัฐ ถ้าเกิดกําไรมันก็เข้าประเทศ ประชาชนไม่ต้องห่วงตรงนี้ แต่หลังจากที่รัฐเริ่มมีนโยบายเมื่อปี 2532 ให้เอกชนมาช่วยร่วมลงทุน เพราะว่าจะได้ลดการลงทุนของรัฐ ลดหนี้ของรัฐเราถึงมีที่มาของสัมปทานไฟฟ้ากับเอกชนในวันนี้เยอะแยะไปหมด
เปลี่ยนผ่านการผลิต ≠ เปลี่ยนผ่านพลังงาน

ประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน อดีตรองผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่อดีตเคยผ่านงานบริหารในการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมาแล้ว บอกเราว่า ‘ราคาค่าไฟ’ ที่เสนอแนวคิดว่า แผน PDP ไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำหนดราคาต่ำสูงของค่าไฟ แต่มุ่งเน้นไปยังวัตถุดิบและองค์ประกอบของสายพานการผลิตในอุตสาหกรรมนี้ ตั้งแต่ก๊าซธรรมชาติ จน Transition ไปสู่โรงไฟฟ้า และกระจายไปสู่ผู้บริโภค
“How to ต่างหากที่สำคัญว่าจะทำให้ค่าไฟถูกลงอย่างไร” เพราะถ้าหากดูไปที่การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานสะอาด ประเสริฐศักดิ์มองว่า “นี่เป็นแค่การเปลี่ยนผ่านกระบวนการผลิต” ไม่ใช่การเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า เพราะไฟฟ้าหรือ electricity คือปลายทางที่จะป้อนเข้าสู่ที่อยู่อาศัย และธุรกิจอุตสาหกรรม แต่เป้าหมายของการเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาดที่ประเสริฐศักดิ์บอกว่า “มีเป้าหมายเบื้องหลังของมันคือการกีดกันทางการค้า เพราะมีคำถามว่า กระบวนการผลิตของคุณ ใช้พลังงานสะอาดหรือเปล่า ถ้างั้นจะโดนภาษีอีก 20%” เพราะธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าถึง 75%
คำถามก็คือ ธุรกิจอุตสาหกรรมไหนบ้างที่จำเป็นต้องใช้พลังงานสะอาดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ “เพราะงั้นเขาก็ต้องบอกมาว่าโรงงานเขาต้องการไฟสีเขียวร้อยเลย” วิธีการจำแนกความต้องการการใช้ไฟของแต่ละแบบ อาจทำให้เราจัดการต้นทุนและระบบโหลดของเราให้ได้ขึ้น ซึ่งสามารถลดต้นทุนของรัฐได้
แต่คำถามที่ประเสริฐศักดิ์เห็นว่าสำคัญก็คือ ราคามันควรจะขึ้นอยู่กับระดับความมั่นคงของพลังงานที่จะซัพพลาย ถ้าความมั่นคงในการซัพพลายสูง ราคาควรจะสูงไหม ? ”เพื่อจะนำไปสู่ประเภทของการแยกการคิดราคาของผู้ใช้ในแต่ละประเภท เพราะที่อยู่อาศัยที่ฟีดไฟอยู่แค่ 25% ของระบบ “เพราะงั้นราคาค่าไฟบ้านที่อยู่อาศัยของประเทศไทย ทําให้มันต่ำได้โดยการกําหนดราคาที่บอกว่าขายไม่เกินนี้ คุณจะขายถูกกว่าก็ได้” ราคาค่าไฟของภาคครัวเรือนก็จะอยู่ในจุดที่เป็นธรรมก็ได้

‘ความเป็นธรรม’ ยังเงียบหาย ตลาดผูกขาดยังฝังแน่น
สฤณี อาชวานันทกุล ชี้ชวนถึงแผน PDP2024 ว่า “ประชาชนไม่มีเสียง” เพราะสิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือระยะเวลาในการทิ้งห่างของ PDP ฉบับก่อนถึงหกปีนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นการเว้นว่างแผนไฟฟ้าระดับชาติที่ยาวนาน แต่ห่างไกลจากการมีส่วนร่วมของประชาชน
“ถ้าเราเชื่อว่าประชาชนควรจะต้องมีส่วนร่วม ก็ควรจะต้องยิ่งให้เวลาแล้วก็เรียกว่าเปิดให้มีส่วนร่วมมากกว่าในอดีต แต่ในทางปฏิบัติ การแสดงความเห็นที่เขาใช้ แค่ออนไลน์เท่านั้น และใช้เวลาน้อยมาก”
ซึ่ง สฤณียังตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่า ถ้าหากแผน PDP มีความสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนและการจัดการด้านพลังงานในประเทศ เหตุอะไรการลงทุนของรัฐบางอย่างถึงไม่รอแผน PDP เช่น ท่าเรือ LNG แห่งที่สาม ที่จะต้องบวกเป็นภาระในค่าไฟของประชาชน หรือการรับซื้อไฟเพิ่มจากลาว

“ไม่เห็นต้องมี PDP ไม่เห็นต้องรอเลย จริง ๆ ไม่ได้อยู่ใน PDP แต่มันมาได้ รวมถึงประเด็นการรับซื้อไฟเพิ่มอีก 5,200 เมกะวัตต์ ในสถานการณ์ที่เรามีกำลังไฟฟ้าสำรองล้นเกิน” สฤณี พยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาของตลาดผูกขาดที่ฝังลึกในประเทศไทย
“ปัญหาหรือความไม่ชอบมาพากล หรือความผิดสังเกตต่าง ๆ ในกระบวนการนี้ มันทําให้เราเห็นวิธีคิดเรื่องของระบบ single buyer system ระบบ take of pay ระบบผูกขาด มันฝังแน่นมาก” เพราะถ้าเราไปดูสัญญาเราก็จะเห็นว่า นี่ไม่ใช่การลงทุนในพลังงานฟอสซิล แต่เป็นการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน “แต่กลับใช้วิธีคิดเหมือนเดิมเป๊ะเลย ล็อกสัญญา 20-25 ปี เป็นสัญญาระยะยาว มีราคาตั้งมาเลย ไม่ใช้การแข่งขัน” มาพร้อมกับคำถามในอนาคตว่า พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดอื่น ๆ ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะราคาถูกลง แต่เรากลับสัญญาและรับประกันรายได้ของเอกชนในระยะยาว
PDP ฝุ่นตลบกับทางออกที่เหลืออยู่ ‘เปิดให้มีการแข่งขันราคา LNG’
ส่วนอาจารย์ชาลียังตั้งข้อสังเกตุว่า ที่แผน PDP ถึงยังไม่คลอดเสียที เพราะเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ยังขุ่นมัวอยู่หลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากยุคของนายกเศรษฐาสู่นายกแพทองธาร เรื่องของมาตรการภาษีจากสหรัฐ
“เราโดนสงครามการค้า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต้องลดลง หรือกระทบกระเทือน การทําโหลดดีมานด์ โหลดอัตรากำลังพลังงาน ที่อาจจะต้องทําใหม่ด้วยซ้ำ หรือประเด็นที่สามคือเรื่องของการเมืองภายใน พอคุณทักษิณพูดว่า เราจะลดค่าไฟ ก็อาจจะต้องมีคนเจ็บกันบ้าง เราก็เห็นแอคชันของคณะกรรมการกำกับพลังงาน หรือรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ที่ออกมาบอกว่า ค่าไฟลดลงแล้ว ก็เถียงกันไปมาว่าจะลดลงเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้เองมันทําให้เกิดการกวนน้ำให้ขุ่น มองในแง่ดีที่แผน PDP ฉบับใหม่ยังไม่ออก เขาอาจจะประมวลครุ่นคิดกันอยู่ก็ได้”
เพียงแต่ทั้งหมดนี้อาจารย์ชาลี ชี้ให้เห็นเหตุผลสำคัญของการเปลี่ยนแผน PDP อยู่ 4 ส่วน
ส่วนที่ 1 คือเรื่องของการปรับโหลดดีมานด์ หรือว่าดีมานด์ฟอร์แคช ซึ่งมันจะกระทบมาจากเศรษฐกิจที่อาจจะเติบโตช้าลง
ส่วนที่ 2 ที่เป็นส่วนสําคัญมากมากก็คือ เทคโนโลยีที่กําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราเห็นลมโซลาร์บวกไฮโดรเจน หรือแม้กระทั่งนิวเคลียร์ในรูปแบบใหม่ ๆ ต้นทุนถูกลงบ้าง แพงขึ้นบ้าง ซึ่งถ้าเอาแฟคเตอร์เหล่านี้มาคํานวณใหม่อีกครั้ง ตัวสัดส่วน energy mix (สัดส่วนวัตถุดิบของพลังงาน) แผน PDP ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ส่วนที่ 3 สําคัญมากไม่แพ้กัน ก็คือในเรื่องของกระบวนการออกแบบ PDP เพราะว่า PDP เรายังตรึงอยู่กับระบบที่เรียกว่า enhanced single buyer อยู่ แต่ถ้าเกิดว่าเรามองภาพให้กว้างกว่านั้นว่าในอีก 10 ปี 15 ปี เราอาจจะมี Third Party Access (TPA) ที่เป็นสัดส่วนสําคัญขึ้นมา ก็คือการใช้สายส่งของบุคคลที่ 3 ที่นำไปสู่ตลาดที่เป็นเปิดเสรีในบางส่วน ตัว PDP เองก็จะต้องมีการคิดเรื่องของโรงไฟฟ้า เรื่องของวิธีการพัฒนา กําลังการผลิตในรูปแบบใหม่ ๆ ด้วยนี่น่าจะเป็นเหตุผลให้ที่คนออกแบบ PDP อาจจะต้องนํากลับไปพิจารณา

ส่วนดอน ในฐานะที่เคยมีส่วนร่วมใกล้ชิดกับการคลอดแผน PDP มากที่สุดบอกเราว่า
“เรากำลังเห็นอะไรใน PDP ณ ตอนนี้ประชาชนยังไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียง”
ดอนเล่าว่า เคยเข้าไปมีสิทธิมีเสียงในคณะอนุกรรมการพยากรณ์ แล้วก็จัดทําแผน PDP 3 ขั้นสุดท้ายในนามของผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรม
“ผมมีคำถามเยอะเลย ถามไปเยอะมาก แต่ที่ถามไปเนี่ย พอกลับมาปั๊บ หลาย ๆ ข้อ ยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนว่าเขาฟังที่เราพูด แต่เขาก็ทำเหมือนเดิมในสิ่งที่เขาจะทำ”
ดอนจึงมองว่า กระบวนการเหล่านี้เป็นแค่เพียงพิธีกรรม แม้แต่กรรมการที่นั่งในนั้นพูดไปยังไม่มีผลเท่าไหร่เลย นับประสาอะไรประชาชนทั้งประเทศที่ให้มาประชาพิจารณ์แค่ไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมง


แม้ว่าแผน PDP ฉบับใหม่ยังไม่คลอด โครงสร้างของส่วนประกอบของราคาพลังงานจึงยังไม่มีข้อสรุปในวันนี้ เพราะสัดส่วนเชื้อเพลิงที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้ายังไม่แน่ชัด ทั้งแก๊สธรรมชาติจากอ่าวไทย ก๊าซเหลวจากการนำเข้า และพลังงานสะอาด
แต่ทุกภาคส่วนก็เห็นตรงกันว่ารัฐควรหยุดเซ็นสัญญาหรือให้สัมปทานใหม่กับเอกชนในการผลิตไฟฟ้า เพราะกำลังไฟฟ้าสำรองของเรามีความมั่นคงเพียงพอ อีกทั้งข้อเสนอของรศ.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์จากเวที ‘PDP2024 ความเงียบสู่ราคาค่าไฟแพง การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และการลงทุนที่ประชาชนไม่มีเสียง’ ที่เห็นว่าทางออกที่เป็นทางเดียวของการลดค่าไฟในวันนี้ คือการเปิดให้มีการแข่งขันราคา LNG หรือ ก๊าซธรรมชาติเหลว คิดต้นทุนตามใช้จริง ยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น และเจรจากับเอกชนถึงต้นทุนที่ไม่ได้ใช้งานจริง ๆ