Reading Time: 3 minutes
“เราอาจไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต แต่เรียกได้ว่านี่คือความเชื่องช้าและไม่ก้าวหน้าของรัฐบาลในการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญ”
ตั้งต้นบทสนทนาว่าด้วยประชาธิปไตย ท่ามกลางสภาวะสุญญากาศทางการเมือง ผ่านมุมมองการวิเคราะห์โดย ศ. ดร. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนถึงวันตัดสินคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 10 กันยายนนี้ ชี้ชัดจำนวนการทำประชามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะเป็นโมงยามของการขับเคลื่อนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตลอดระยะเวลาการทำงานของรัฐบาล
ศ. ดร. สิริพรรณ กล่าวถึงเจตจำนงในการแก้รัฐธรรมนูญในสังคมยังไม่เกิดทั้งจากทางภาคการเมืองและภาคประชาชน ความกระหายที่สังคมเห็นร่วมกันในการแก้รัฐธรรมนูญ ที่แม้ประชาชนบางกลุ่มมีความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ 2560 แต่ก็จะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า การแก้รัฐธรรมนูญอาจจะไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
“ความกระหายกับความรู้สึกที่ว่า หากไม่มีรัฐธรรมนูญ ประเทศชาติจะติดหล่มไปจนถึงทางตัน คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ติดตามสถานการณ์การเมืองอาจจะมองไม่เห็นถึงความสำคัญตรงนี้”
และสิ่งนี้เป็นคอขวดทางจิตวิทยาในการสร้างเจตจำนงร่วมกันทางสังคม
คอขวดหนึ่งในทางกฎหมาย คือรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ในการกำหนดอำนาจให้กับวุฒิสภามี Blackmail Potential ซึ่งก็คือการเหยียบเบรกโดยรัฐสภา หากสมาชิกวุฒิสภาไม่ให้ความร่วมมือด้วยจำนวนเสียงจำนวน 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญใหม่ก็ยังไม่สามารถเดินหน้าไปต่อได้ ด้วยแนวโน้มจากการลงคะแนนต่าง ๆ ที่ผ่านมา ที่คาดการณ์ว่าหากมีการยื่นญัตติปรับแก้รัฐธรรมนูญ และต้องการให้มีการลงรับรองความคิดเห็นตั้งแต่ขั้นตอนรับหลักการ ไปสู่ข้ั้นตอนสุดท้ายในการรับรองร่างรัฐธรรมนูญ ก็จำเป็นต้องได้รับลงมติ 67 เสียงจากทางวุฒิสภา ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในรัฐสภาและไม่ได้มีการยึดโยงกับประชาชน
แต่ในส่วนที่เป็นคอขวดของรัฐธรรมนูญในทุกวันนี้ เและเป็นอีกหนึ่งคอขวดในทางกฎหมาย คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ที่ยังตีความอยู่ต้องทำประชามติจำนวน 2 หรือ 3 ครั้ง ทั้งนี้ต้องย้อนกลับไปถึงฉันทามติทางสังคม ว่าหากฝ่ายการเมืองและสังคมมีความเห็นร่วมกันในการแก้รัฐธรรมนูญ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นคอขวดอยู่ในทางกฎหมายนั้นจะถูกผ่อนลง
“เพื่อไทย (ในฐานะแกนนำรัฐบาล) ควรจะต้องผลักดันในประเด็นนี้ แม้ประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับพรรคฝ่ายค้าน แต่เมื่อมาดูโครงสร้างภายในพรรคที่อ่อนแอลงจากการรัฐประหาร 2 ครั้งในปี 2549 และ 2557 ทีมทำงานด้านกฎหมายภายในพรรคที่จะผลักดันรัฐธรรมนูญจึงขาดความหนักแน่นและเข้มแข็ง”
เมื่อมาเจอกับคำวินิจฉัยเรื่องการทำประชามติของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ทำให้สภาตัดสินใจที่จะไปดำเนินการแก้พ.ร.บ. ประชามติก่อน ที่เดิมกำหนดให้เป็นการลงความเห็นเสียงข้างมากใน 2 ระดับ (double majority) ซึ่งอาจจะไม่ผ่านในขั้นตอนการพิจารณา หนึ่งในทางเลือกภายหลังจากการปรับแก้พ.ร.บ. ประชามติ คือหากไม่สามารถปรับแก้รัฐธรรมนูญในทุกมาตรา ก็สามารถปรับแก้ในรายมาตราได้โดยไม่จำเป็นต้องทำประชามติ
“ถ้าหากติดอยู่ที่คำวินิจฉัย ก็สามารถแก้ไขในรายมาตรา เพื่อการสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม สร้างความสนใจทางสังคมในการเดินหน้าปรับแก้รายละเอียดของรัฐธรรมนูญ”
การปรับแก้ในรายมาตราจะเป็นหนึ่งในวิธีการเริ่มต้นสร้างบรรยากาศความเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อผลักดันไปสู่การปรับแก้ทั้งฉบับ เช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ผ่านการแก้ในบางมาตราจำนวน 6 ครั้งจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า (ฉบับ พ.ศ. 2534) ก่อนจะนำมาสู่การปรับแก้ทั้งฉบับ แต่การแก้ที่ไปกระทบกับองค์กรอิสระและการได้มาซึ่งตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง ก็ยังคงจำเป็นต้องผ่านการทำประชามติจากประชาชน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 256 ซึ่งก็สามารถกระทำได้พร้อมกันกับการทำประชามติในครั้งแรก เพื่อไปปรับแก้ประเด็นการถ่วงดุลอำนาจ ที่โน้มเอียงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ
อีกหนึ่งในความเร่งด่วนที่จำเป็นต้องปรับแก้สำหรับรัฐธรรมนูญ 2560 จากการหยิบยกของ ศ. ดร. สิริพรรณ คือแนวทางการเสนอผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกเสนอชื่อให้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน จะถูกพิจารณาจากระเบียบบัญชีรายชื่อที่ถูกเสนอโดยพรรคการเมือง ปัจจุบันมีทั้งหมด 6 รายชื่อ ซึ่งแตกต่างจากระบบรัฐสภาทั่วไป ที่ให้สิทธิสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนสามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หากได้รับความไว้วางใจจากสมาชิก โดยข้อบัญญัติดังกล่าวสามารถปรับแก้ไม่ให้ประเทศต้องตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง เช่นเดียวกันกับในช่วงเวลาปัจจุบันที่ทุกฝ่ายรอรับฟังคำตัดสินจากศาลรัฐธรรมนูญ ถึงการดำรงตำแหน่งของ แพทองธาร ชินวัตร และเคยเกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้เศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อีกหนึ่งกรณีที่กระทบกับประชาชนคือเรื่องของบัตรเลือกตั้งตามมาตรา 90 ที่การเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา เลขประจำตัวผู้สมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อและแบบเขตการเลือกตั้งเป็นคนละตัวเลขกัน เนื่องด้วยพรรคการเมืองต้องแจ้งรายชื่อผู้สมัครในระดับเขตก่อน จึงจะสามารถส่งตัวแทนบัญชีรายชื่อในภายหลัง ปัญหาดังกล่าวสามารถปรับแก้ในข้อบัญญัติการเลือกตั้งได้ โดยให้ทางพรรคแจ้งผู้สมัครบัญชีก่อนการประกาศผู้สมัครในระดับเขตการเลือกตั้ง
ขีดเส้น 3 ปีรัฐธรรมนูญใหม่
หากในวันที่ 10 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินการพิจารณาทำประชามติ ตามที่ประธานสภาขอให้มีคำวินิจฉัยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและแนวทางการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในการใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการเข้ามาตัดสินกระบวนการจัดตั้งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งเป็นผู้ยื่นการพิจารณา ส่งผลให้ระยะเวลาการเริ่มต้นจัดทำรัฐธรรมนูญถูกเว้นวาระออกไป
หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สภาทำประชามติ 2 ครั้ง ขั้นตอนแรกคือจัดตั้งกระบวนการคัดเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งสามารถทำได้พร้อมไปกับการเลือกตั้งในครั้งถัดไป ก่อนจะทำประชามติครั้งที่สองในการให้ประชาชนรับรองร่างกฎหมายฉบับใหม่ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดให้สภามีการประชามติ 3 ครั้งนั้น การทำประชามติครั้งแรก จะเป็นการสอบถามความเห็นชอบจากประชาชนให้มีการจัดตั้ง สสร. เนื่องด้วยรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่การร่างและปรับแก้รัฐธรรมนูญแก่สภาร่างรัฐธรรมนูญ (อำนาจของการปรับแก้อยู่ที่สมาชิกสภาทั้ง สส. และสว.) จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน ก่อนจะมีการจัดตั้ง สสร. และประชาชนเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ตัวแทนสภาจากประชาชนเป็นผู้ร่าง
ความชัดเจน เช่นเดียวกันกับการระบุถึงที่มาของ สสร. ที่ต้องให้ความชัดเจนว่าบทบาทหน้าที่ในการเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชน หรือ ต้องมีการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนในการนำมาประกอบการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งสามารถลดระยะเวลาการเสนอความคิดเห็นผ่านกลุ่มทางการเมือง เครือข่ายภาคประชาชน สื่อ องค์กรอิสระ ควบคู่ไปกันกับกระบวนการสรรหาผู้แทนร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องมีความหลากหลาย เป็นที่ยอมรับร่วมกันในสังคม ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องไปถึงกลุ่มทางการเมืองที่ไม่ต้องการให้มีการปรับแก้
“กระบวนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่มีระยะเวลายาวนาน แน่นอนว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า เรายังต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ช่วงเวลาการร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ควรเกินระยะเวลา 3 ปี”
รศ. ดร. สิริพรรณ ขยายความการกำหนดระยะเวลาในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นไม่ควรเกินระยะเวลา 3 ปี เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่คลุมเครือ ให้ทางสมาชิกสภากลับมาตีความร่วมกัน ก็ต้องมีการยื่นญัตติเพื่อหาแนวทางการทำประชามติ ซึ่งคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งในครั้งถัดไป อาจเกิดขึ้นในช่วงปี 2569 – 2570 หากมีการเลือกตั้งและจัดทำประชามติในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ก็จะมีระยะเวลาในการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และเสร็จสมบูรณ์เพื่อประกาศบังคับใช้ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
ปิดตายรัฐประหาร กำเนิดรัฐธรรมนูญที่มีชีวิต
หากเข้าใจในเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ท่ามกลางสภาวะสังคมที่อยู่ภายใต้มวลอารมณ์ของช่วงเวลาการรัฐประหาร รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกร่างขึ้นมาเพื่อให้ ‘แก้ได้ยาก’ และ ‘ไม่สามารถแก้ได้’ ด้วยการให้อำนาจวุฒิสภา หากไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เหมือนกับการเหยียบเบรกไว้ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีปฏิปักษ์เสียงข้างมาก ที่เมื่อตัวแทนของประชาชนสร้างความรู้สึกไม่เป็นมิตร เข้าไปกระทบกับเสถียรภาพกับกลุ่มชนชั้นนำ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษนิยม กลุ่มชนชั้นนำก็สามารถใช้อำนาจขององค์กรอิสระในการเข้ามาหยุดยั้งตัวแทนของประชาชนได้
“รัฐธรรมนูญถูกร่างขึ้นมาเพื่อให้ฝั่งชนชั้นนำรู้สึกปลอดภัย จากการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เขาไม่ต้องการ ถ้ามองลงไปลึกกว่านั้น คือท้ายที่สุดแล้วจะได้ไม่ต้องกลับไปใช้วิธีการรัฐประหาร หากไม่พอใจก็แค่ให้ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนและเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่ง”
โดยทั่วไปในประเทศประชาธิปไตยอื่น ๆ รัฐธรรมนูญจะไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการถอดถอนนายกรัฐมนตรีกับฝ่ายบริหาร รวมไปถึงการให้อำนาจคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นเรื่องตัดสิทธินักการเมือง และถือเป็นการกระทำตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่จะเปลี่ยนผู้เล่นทางการเมืองที่รู้สึกว่าเป็นภัยคุกคาม การแก้รัฐธรรมนูญสำหรับผู้ร่างและกลุ่มชนชั้นนำจึงไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะจะสูญเสียอำนาจในการกำกับดูแลพรรคการเมืองและฝ่ายบริหาร และอาจจะต้องย้อนกลับไปใช้การรัฐประหารอีกครั้ง
“นี่คือโจทย์ใหญ่ของการเมืองไทย เราไม่อยากให้เกิดรัฐประหารอีก ในขณะเดียวกันเราก็อยากให้รัฐธรรมนูญมีหลักการประชาธิปไตยมากกว่านี้ ไม่นำมาสู่ความสุ่มเสี่ยงที่ระบอบการเมืองจะถึงทางตัน มีการตรวจสอบอำนาจถ่วงดุล เคารพนิติรัฐนิติธรรม คุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่สำคัญคือมีความยืดหยุ่น เป็นรัฐธรรมนูญที่มีชีวิต ปรับไปตามเจตนารมณ์ เจตจำนงของสังคมที่เปลี่ยนไปตามเวลา”
ความละเอียดอ่อนของสองขั้วมุมมองทางการเมือง ที่หากจะสื่อสารระหว่างกลุ่มชนชั้นนำ สมาชิกภายในสภา และประชาชน ที่ไม่ถูกการสนับสนุนจากรัฐบาลในการเปิดพื้นที่สาธารณะเพื่อพูดคุย รัฐธรรมนูญจึงเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเฉพาะในพื้นที่ของสภาไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่บอกว่าอยากให้แก้อย่างแข็งกร้าว และกลุ่มที่ไม่ต้องการให้เกิดการแก้ด้วยการใช้เสียง สว. 1 ใน 3 หรือใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมากีดกัน การเจรจาจึงถือเป็นหลักการพื้นฐานในการสร้างพื้นที่การพูดคุยระหว่างฝ่ายที่ต้องการปรับแก้รัฐธรรมนูญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการปรับแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะพื้นที่การพูดคุยในสาธารณะเพื่อสร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อปรับแก้ในมาตราที่มีความเห็นร่วมกันว่าจะเป็นต้องมีการแก้ไขในรายละเอียด
กับดักรัฐธรรมนูญ 2560
ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ไล่เรียงตั้งแต่การประกาศยุบพรรคการเมือง เจตนารมณ์ของประชาชนไม่ได้รับการรับรอง จากการที่อำนาจของวุฒิสภาถูกตีความไว้เหนือกว่าอำนาจของสส. ที่เป็นตัวแทนในฟากฝั่งของประชาชน
การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหารและนักการเมือง ถอดถอนนายกรัฐมนตรี ยุบพรรคการเมือง ให้อำนาจในการตรวจสอบถ่วงดุลที่ไม่ชัดเจน เกี่ยวเนื่องไปกับการตีความอำนาจของวุฒิสภาที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการ เช่นในกรณีการไม่รับรองผู้ถูกเสนอรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาใช้อำนาจโต้กลับคณะกรรมการสรรหาด้วยการลงมติไม่รับรองโดยไม่มีคำชี้แจงเหตุผลของการไม่รับเลือก ซึ่งเป็นผลมาจากการระบุอำนาจของวุฒิสภาไว้ในรัฐธรรมนูญให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการคัดเลือก เป็นหนึ่งในช่องว่างที่สะท้อนปัญหาหลักการของรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ส่งผลกระทบในรายบุคคล แต่กระทบไปถึงผู้แสดงทางการเมืองในหลายฝ่าย กลุ่มการเมืองจึงต้องการมีอำนาจเหนือศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระผ่านการแทรกแซง
ในขณะเดียวกัน หากศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระไม่มีอำนาจชี้ขาด ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่เพียงแค่ตีความการกระทำของฝ่ายบริหาร กฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เช่นเดียวกันกับ กกต. ที่หากมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งด้วยความโปร่งใส ฝ่ายการเมืองก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่เกินขอบเขตในการกำหนดสถานะของฝ่ายการเมือง
“ทั้งหมดเป็นผลพวงของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่สร้างกับดักและหลุมพรางเอาไว้ ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนก็สามารถเข้าไปเหยียบได้ แต่ไม่ได้ถูกบังคับใช้ในบรรทัดฐานเดียวกันกับพรรคการเมืองที่ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องการเก็บรักษาไว้”
เมื่อรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้เกิดการตีความ ภายใต้บรรทัดฐานที่ถูกบังคับกับกลุ่มทางการเมืองคนละทิศทาง การคาดการณ์จาก ศ. ดร. สิริพรรณ ถึงสภาวะของรัฐบาลหลังจากนี้ คือการขาดเสถียรภาพหากยังไม่มีการปรับแก้รัฐธรรมนูญ การดำรงเสียงข้างมากของรัฐบาลในรัฐสภาที่มีความสั่นคลอน เกิดพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้ปรากฏการณ์ ‘พรรคฝ่ายค้านในพรรคร่วม’ หากสมาชิกในพรรคร่วมไม่เห็นชอบ ก็ไม่สามารถดำเนินหน้าที่ในนโยบายที่ประกาศไว้ได้ นับเป็นกับดักทางการเมืองที่ประเทศไทยไม่สามารถก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่ตั้งมั่น เดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประชากร
ในขณะเดียวกันเมื่อสภาวะการแข่งขันทางการเมือง อาวุธที่รัฐธรรมนูญได้มอบไว้ ก็ถูกผู้แสดงทางการเมืองนำมาใช้เป็นอาวุธในการห้ำหั่นฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งที่ในเวลาก่อนหน้าก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เป็นภัยต่อประชาธิปไตย แต่กลับเลือกใช้รัฐธรรมนูญในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองมากไปกว่าการมองหาแนวทางการปรับแก้รัฐธรรมนูญ
“สังคมไทยที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย เรากลับขัดแย้งกันเอง ไม่แสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง ไม่มีเอกภาพในระดับมากพอที่จะขับเคลื่อนพลวัตความต้องการของประชาชนในสังคม การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นอย่างละมุนละม่อม ในช่วงเวลาที่เหมาะสม มีหมุดหมายแก้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องในมาตราสำคัญ เปลี่ยนบรรยากาศทางการเมืองด้วยเสถียรภาพของรัฐบาลและประชาธิปไตย”
การปิดกั้นการเปลี่ยนแปลงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการชะลอการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่สังคมยังไม่มี ‘ฉันทามติร่วมกัน’ ทั้งจากฝั่งการเมืองและประชาชน มีหลักการยอมรับร่วมกันทางสังคมที่จำเป็นต้องร่วมกันสร้างระลอกเคลื่อนการร่างรัฐธรรมนูญ ชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่ประชาชนเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และผลกระทบจากรายละเอียดที่ถูกระบุไว้ในแต่ละมาตรา
“การแก้รัฐธรรมนูญ ต้องยึดหลักการมากกว่าปัญหาเฉพาะหน้า ที่อนาคตปัญหา และผู้สร้างปัญหาจะเปลี่ยนไป รัฐธรรมนูญที่ร่างมาก็จะกลายเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่เราจะเห็นแต่ปัญหาและหน้าตาของผู้สร้างปัญหา แต่หากนำหลักการเป็นที่ตั้ง หลักการที่วางไว้จะนำไปสู่การแก้ปัญหา”
แน่นอนว่าเราไม่อาจมีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเพียงเพื่อเฉพาะการประกาศใช้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ประเทศจำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางสังคม และความต้องการของประชาชนที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต