ยุคสมาร์ตโฟนที่ไม่เฮลตี้ทางใจ
Reading Time: 2 minutesเพราะ Anxious Generation ไม่ได้จำกัดแค่อายุของ Gen Z แต่เป็นใครก็ได้ในยุคนี้ที่ป่วยไข้ทางใจไปกับการวิตกกังวล
บางเล่มเราหยิบมาอ่านแล้วเกิดเสียงเงียบในใจ แต่บางเล่มกลับทำให้หัวใจเราเต้นถี่เหมือนอยู่กลางความวุ่นวาย บ้านเมืองของเราลงแดง ของเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน คือหนังสือแบบหลัง หนังสือที่ไม่ได้ปลอบ แต่บอกตรง ๆ ว่า บ้านเมืองไทยป่วยเรื้อรัง
คำว่า “ลงแดง” ไม่ใช่คำเล่น ๆ มันคือสภาพร่างกายที่เสพติดสิ่งผิด ๆ จนเมื่อถึงเวลาขาดยา ร่างก็สั่นเกร็ง ทรมาน ชักกระตุก บ้านเมืองไทยในสายตาแอนเดอร์สันก็ไม่ต่างกัน ประเทศที่เสพติดความไม่เป็นธรรม เสพติดการผูกขาดอำนาจ เสพติดอาการคลั่งชาติและการกดทับผู้เสียเปรียบในสังคม
แอนเดอร์สันไม่ได้เขียนด้วยสายตาของนักวิชาการต่างชาติที่ยืนอยู่ห่าง ๆ เขาเหมือนหมอที่นั่งจับชีพจรคนไข้ แล้วบอกว่า โรคนี้มันฝังลึกอยู่ในเส้นเลือด
บ้านเมืองไทยมีอำนาจรัฐที่ถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่กลุ่ม ใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือกดหัว และใช้ความมั่นคงเป็นข้ออ้าง ปิดปาก ทุกครั้งที่ประชาชนพยายามร้องตะโกน ก็ถูกผลักกลับสู่ความเงียบ อาจารย์เบนเขียนว่า อาการนี้จะทำให้บ้านเมืองทั้งประเทศสั่นเหมือนคนลงแดง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเมืองจะเดินวนซ้ำเหมือนวงกลม จากความเงียบไปสู่การระเบิด แล้วกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
แอนเดอร์สันเริ่มต้นด้วยการฉายภาพสังคมไทยตั้งแต่ ทศวรรษ 2490–2510 ที่ภายนอกดูมั่นคงเหมือน “เวนิสตะวันออก” เต็มไปด้วยคลอง วัด และพระราชวัง แต่ภายในกำลังถูกกดทับด้วยพลังใหม่ที่คุกรุ่น
“เมืองทั้งเมืองขยายตัวลุกลามเร็วราวโรคมะเร็ง เขมือบกลืนพื้นที่ชนบทรอบ ๆ และเปลี่ยนทุ่งนาไปเป็นโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเก็งกำไร ย่านชานเมืองสำเร็จรูป และสลัมใหม่ขนาดยักษ์”
การบูมทางเศรษฐกิจที่ผูกติดกับอเมริกาในยุคสงครามเย็น ไม่เพียงเปลี่ยนภูมิทัศน์เมือง แต่ยังสร้างชนชั้นใหม่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน นายทุนน้อย กระฎุมพีชั้นกลาง และแรงงานอพยพจากชนบทที่ถูกผลักเข้าสู่เมืองหลวง
แอนเดอร์สันชี้ว่าการเมืองไทยเสพติดคำว่า “ความมั่นคง” และ “การพัฒนา” เหมือนร่างกายติดยา ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ รัฐบาลก็เลือกใช้ การลงทุนต่างชาติ และ การกดเสียงประชาชน เป็นยาชุดใหม่
“สฤษดิ์ทำทุกอย่างที่อยู่ในวิสัยจะทำได้เพื่อดึงดูดทุนต่างชาติ (โดยเฉพาะทุนอเมริกัน) เข้ามาในสยาม เชื่อว่ามันเป็นปัจจัยแก่นแท้ในการเสริมสร้างความมั่นคงแก่การปกครอง”
แต่ยาที่เสพเข้าไปก็เหมือนยาแก้ปวดชั่วคราว ไม่เคยรักษาโรคจริง บ้านเมืองจึงเข้าสู่วงจร “อาการลงแดง” เมื่อขาดเงินทุนหรือแรงพยุงจากภายนอก ก็สั่นสะท้านเหมือนคนถูกตัดยา เศรษฐกิจบูมยังสร้างกลุ่มคนใหม่จำนวนมาก ทั้งนายทุนน้อย กระฎุมพี และคนหนุ่มสาวจากชนบทที่เข้ามาแสวงหาชีวิตใหม่ในเมือง
“หนุ่มสาวจรจัดตกงานจำนวนมหาศาล… คนอีกจำนวนมากที่ยกฐานะตัวเองขึ้นมาในอาชีพบาร์เทนเดอร์ เสมียนธนาคาร เจ้าของร้านค้าย่อย กองทัพนายทุนน้อยรุ่นใหม่ที่ทั้งปรนนิบัติรับใช้ และต้องพึ่งพาอาศัยความเจริญรุ่งเรืองของกลุ่มสังคมที่สี่”
แต่ความฝันเหล่านี้ก็ลอยอยู่บนโครงสร้างที่ไม่มั่นคง การศึกษาขยายตัว โรงเรียน มหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาไม่กี่ปี ทว่ามันกลับเป็นการสร้าง “ความทันสมัย” เพื่อตอบสนองระบบ มากกว่าที่จะเปิดทางให้คนส่วนใหญ่มีโอกาสจริง ๆ
ต่างจากเพื่อนบ้านที่ผ่านอาณานิคมจนมีถ้อยคำฝ่ายซ้าย / ราดิคัลติดตัว สยาม “หนีอาณานิคม” มาได้ จึงเติบโตใต้ร่มวาทกรรมอนุรักษนิยม แอนเดอร์สันชี้ว่ากระทั่งก่อน 2516 เรื่องเล่าชาติ ในห้องเรียน “วาง ‘พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่’ ไว้เป็นวีรบุรุษ” มากกว่าแรงงาน ครู นักหนังสือพิมพ์ที่เคยติดคุกการเมือง ผลคือวัฒนธรรมการเมืองหลักกลายเป็นการเชื่อฟังและนิยมเจ้า ขณะที่ฝ่ายซ้าย “ถูกไล่ให้พิสูจน์ความเป็นไทย” อยู่เรื่อย ถูกติดป้าย “เจ๊ก ญวน ต่อต้านกษัตริย์”
พอถึงยุคสฤษดิ์ วงจรนี้ถูก “เสริมกำลัง”: รัฐ บูรณะสถาบันกษัตริย์อย่างเป็นระบบ พระราชพิธีถูกฟื้น การเสด็จฯ ต่างประเทศทำหน้าที่เชื่อมโยงศักดิ์ศรีสากลกับความชอบธรรมภายใน ขณะเดียวกันก็ รวมศูนย์คณะสงฆ์ ให้ทำหน้าที่ “ให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่ระบอบ” คำขวัญ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” จาก คติสงบ มาเป็น อาวุธปลุกระดม ในยุคสงครามเย็น
“การรื้อฟื้นองค์ราชันย์ ดำเนินไปพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจบูม… การพัฒนาตอกย้ำความชอบธรรมของราชบัลลังก์ และราชบัลลังก์ก็ประทานความชอบธรรมให้กับการพัฒนา”
สำหรับ ชนชั้นกลาง / นายทุนน้อย ที่เพิ่งตั้งตัวได้ในเมือง สถาบันกลายเป็นทั้งหลักชัย และเกราะคุ้มกันทางใจ ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วและเสี่ยง “ลงแดง” จากเศรษฐกิจทุนต่างชาติ
“ตุลา 2516” เป็นเหมือนปีที่ทุกอย่างระเบิดออก งานเขียน เพลง บทกวี บทความที่ “ถูกกดไว้ในยุคเผด็จการ” ทะลักสู่สาธารณะ นักศึกษาถกกับพ่อแม่เรื่องสยามสมัยพุทธศตวรรษที่ 25 ไม่ใช่ในนาม ‘มหาราช’ แต่ในภาษาของ โครงสร้างราชการ อำนาจ เศรษฐกิจ เพียงภาษาเปลี่ยน ศูนย์กลางเรื่องเล่าชาติก็เปลี่ยนจากบัลลังก์สู่โครงสร้าง นี่คือการท้าทายแห่งยุคสมัยที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพบเจอ
แอนเดอร์สันชี้ให้เห็นรอยปริแตกนี้ เมื่อ “ชาติ” ถูกสังคมรุ่นใหม่ดึงออกจากสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ความวิตกของชนชั้นใหม่ ซึ่ง “ยึดมั่นราชบัลลังก์เป็นหลักประกันความเป็นชาติของตน” ก็พุ่งสูง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เริ่มถูกหยิบมาใช้ ปักหมุดเส้นห้ามแตะ ในพื้นที่สาธารณะ
พออินโดจีนล้มเป็นโดมิโน 2518 ทุนไหลออก ความกลัวเข้าถาโถมฝ่ายขวา สถาบัน กองกำลัง สื่อพากันรายงานว่า “ขวาพิฆาตซ้าย”, เพลง “หนักแผ่นดิน”, วาทะศาสนาที่ให้ใบอนุญาตความรุนแรง ทั้งหมดนี้ ชูบัลลังก์เป็นแกนศักดิ์สิทธิ์ แล้วตีกรอบฝ่ายเห็นต่างให้เป็น “ภัยต่อชาติ ราชบัลลังก์”
ชนวน “6 ตุลาคม 2519” จึงไม่ใช่แค่ความรุนแรง หากเป็น พิธีกรรมทางอุดมการณ์ ต่อหน้าสาธารณะ : โปสเตอร์ “แขวนคอ” คนงาน ละครล้อเลียน และการกล่าวหานักศึกษาถึงการแขวนคอราชกุมาร สถานีวิทยุยานเกราะจึงประกาศเชิญชวนลงโทษผู้ลบหลู่” ก่อนจะเปิดทางให้ทหารเข้ายึดอำนาจ
แอนเดอร์สันชี้ว่า กลุ่มผู้ปกครองเก่าที่อ่อนแรง หาแนวร่วมใหม่ ในหมู่กระฎุมพีที่ “เคียดแค้น ตระหนก งงงวย” กับการปฏิวัติทางวัฒนธรรมหลัง 2516 และยอมรับคำขวัญชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในฐานะยาแก้ปวดทางใจ
สิ่งที่น่าขนลุกคือ เมื่อหยิบเล่มนี้มาอ่านในวันนี้ หลายย่อหน้ายังสดเหมือนเขียนขึ้นเพื่ออธิบายข่าวประจำวัน
ความเหลื่อมล้ำที่ยังเป็นกำแพงสูง ความไม่โปร่งใสของรัฐที่ยังเป็นเรื่องปกติ และความฝันของประชาชนที่ยังถูกพรากไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เรารู้ว่าหนังสือไม่ได้ถูกเก็บไว้แค่บนหิ้ง แต่มันคือคำเตือนที่ยังใช้งานอยู่ บ้านเมืองในวันนี้อาจไม่ได้ “ลงแดง” ด้วยอาการชักกระตุกแบบเห็นชัด แต่กำลังสั่นอยู่ข้างใน เหมือนคนที่พยายามซ่อนโรคเรื้อรังด้วยเครื่องสำอาง
บ้านเมืองของเราลงแดง ทำให้เราเห็นว่าความเหลื่อมล้ำกับชาตินิยมไม่ได้เป็นแค่ “ปัญหาการเมือง” แต่คือ โรคเรื้อรัง ที่มีทั้งอาการถอนยา วิกฤตซ้ำซาก และโรคแทรกซ้อนที่พรมแดน ถ้าไม่ยอมบำบัดวงจรนี้ สังคมไทยก็จะยัง “ตัวสั่น เหงื่อแตก” ทุกครั้งที่โครงสร้างสั่นคลอน และก็หันไปเสพ ยาแก้ปวดเก่า ๆ อย่างข้อหาหมิ่นฯ หรือการชูธงเขตแดนต่อเพื่อนบ้านเหมือนเดิม
อย่างเช่น อาการป่วยภายในยังแสดงออกเป็น ความขัดแย้งนอกบ้าน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรณี เขาพระวิหาร และการปะทะกันทางกำลังของระลอกล่าสุด คือภาพสะท้อนชัด : เส้นเขตแดนที่วาดโดยมหาอำนาจอาณานิคม ถูกทำให้กลายเป็น เครื่องมือชาตินิยม ทั้งในไทยและกัมพูชา แทนที่จะถกกันด้วยเหตุผลทางกฎหมาย การทูต รัฐ และกลุ่มการเมืองกลับชูประเด็นนี้เป็นยาแก้ปวดทางการเมือง ปลุกม็อบในกรุงเทพฯ และสร้างความตึงเครียดบนพรมแดน
แอนเดอร์สันอธิบายว่า สังคมที่พึ่งพาความมั่นคงจากภายนอก (อเมริกาในอดีต) และความศักดิ์สิทธิ์จากสัญลักษณ์ (ราชบัลลังก์) มักจะ มองหาศัตรูภายนอก มาช่วยเยียวยาความไม่มั่นคงในบ้านตัวเอง กัมพูชาจึงถูกทำให้เป็น “ภาพสะท้อนโรค” ของสังคมไทยในหลายยุค
ถ้ามองออกไปนอกบ้าน จะเห็นว่าอาการป่วยนี้ไม่ได้หยุดแค่ในประเทศ ความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชาในปัจจุบันก็เป็นภาพสะท้อนอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะหาทางอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนบ้าน เรากลับเห็นการใช้ ชาตินิยมแบบกดดันเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจและนักการเมืองไทยจำนวนไม่น้อยเลือกหยิบ “กัมพูชา” มาเป็นปีศาจที่ปลุกความกลัวและความโกรธของประชาชน เพื่อกลบเกลื่อนโรคภายในของตัวเอง
เหมือนคนป่วยที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย แต่โทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุของอาการสั่น ประเทศจึงเดินวนในวังวนแห่งความไม่ไว้ใจ วันหนึ่งก็จับมือ วันหนึ่งก็หันหลัง วันหนึ่งก็เปิดศึกเล็ก ๆ ตามแนวชายแดน
แอนเดอร์สันอาจไม่ได้พูดตรง ๆ ถึงกัมพูชาในเล่ม แต่สิ่งที่เขาชี้ให้เห็นคือ โครงสร้างการเมืองที่ป่วยไข้ได้สร้างเงื่อนไขให้กับความสัมพันธ์ในเพื่อนบ้านเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
การอ่าน บ้านเมืองของเราลงแดง วันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการทบทวนประวัติศาสตร์ แต่เป็นการหันไปมองว่าความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา หรือแม้กระทั่งการเมืองไทยเอง กำลังสั่นสะท้อนแบบเดียวกับที่แอนเดอร์สันเคยชี้ไว้หรือไม่
เพราะถ้าเราไม่ยอมรักษาโรคที่ฝังรากอยู่ในบ้านเมือง ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหน ภายในหรือภายนอก เราก็ยังเห็นภาพบ้านเมืองที่ “ลงแดง” อยู่เรื่อยไป
เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน บอกเราว่า บ้านเมืองที่เสพติดความไม่เป็นธรรม ย่อมไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคง เสียงที่ถูกบังคับให้เงียบจะกลับมาร้องอีกครั้ง และการเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะไม่สามารถรักษาโรคเรื้อรังได้ บ้านเมืองของเราลงแดง จึงไม่ใช่เพียงหนังสืออธิบายการเมืองไทย แต่มันคือ แผนที่ของโรคเรื้อรัง ที่สังคมไทยยังไม่หายจากโรึนี้และยังลุกลามไปถึงการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาในวันนี้
คำถามคือ เราจะยอมเห็นบ้านเมืองสั่นสะท้านไปเรื่อย ๆ หรือเราจะลงมือรักษา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
Playread : บ้านเมืองของเราลงแดง
ผู้เขียน : เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน
สำนักพิมพ์ : มติชน
PlayRead : คอลัมน์รีวิวหนังสือประจำ Decode.plus เมื่อกองบรรณาธิการขอ add หนังสือ (ที่อยากอ่าน) ไว้ในเพลย์ลิสต์ พบกับหนังสือหลากหลายสไตล์ หลากหลายวิธีการเล่าเรื่องที่เชื่อมร้อยกับชีวิตและสังคม แวะมาหาอ่านกันได้ทุกเย็นวันพฤหัสบดี