มาตรฐานอาหารปลอดภัยใคร(ต้อง)กำกับ - Decode

มาตรฐานอาหารปลอดภัยใคร(ต้อง)กำกับ

Human & Society
Reading Time: 3 minutes

บทบาทรัฐกับการสร้างมาตรฐาน ‘อาหารปลอดภัย’ หนึ่งในความท้าทายท่ามกลางกระแสนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ ที่กฎหมายการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอาจยังไม่ครอบคลุมให้ภาครัฐเข้าไปกำกับดูแลมาตรฐานอาหารปลอดภัยทั้งจากการนำเข้าและสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ

คำถามที่เกิดขึ้นภายในวงเสวนาและเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากทางภาครัฐและประชาชนได้แลกเปลี่ยนว่า ใครคือผู้มีบทบาทในการกำกับอาหารปลอดภัยตลอดเส้นทางของการผลิตจากแหล่งเพาะปลูกจนกระทั่งวางจำหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการเข้าไปกำกับหน่วยงานที่กระจายการทำงานดูแลคุณภาพสินค้า

คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ คือข้อถกเถียงหนึ่งที่ถูกเสนอให้เข้ามามีบทบาทกำกับดูแลมาตรฐานอาหารปลอดภัยทั้งซัพพลายเชน ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 11 กระทรวง 4 หน่วยงาน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานภาครัฐมากนัก

หากลำดับบทบาทการทำงานของหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยผู้บริโภคทางด้านอาหาร ถือเป็นบทบาทสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้การกำกับของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะมีหน่วยงานกำกับดูแลสถานที่ผลิต กระบวนการนำเข้าและการจัดจำหน่าย เพื่อตรวจสอบมาตรฐานในการออกเลขสารบบอาหาร 13 หลัก หรือที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคคุ้นเคยในชื่อ เลข อย. ให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการยืนยันมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า และติดตามเฝ้าระวังการรักษาคุณภาพสินค้าให้อยู่ในเกณฑ์อย่างต่อเนื่อง สำหรับบทบาทของกองอาหารนั้น สัสสาวี ณรากร นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ กล่าวขยายความว่ากองอาหารมีหน้าที่รับผิดชอบหลักคือความปลอดภัยของผู้บริโภคด้านอาหาร

หนึ่งในงานเชิงรุกของ อย. คือการสุ่มตรวจสารเคมีตกค้างจากด่านอาหารและยาที่กระจายอยู่ตามด่านศุลกากรรับเข้าสินค้าของหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงคัดกรองผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค หากต้องมีการวิเคราะห์ผลทางห้องปฏิบัติการ ก็จะมีการทำงานร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่มีความสามารถและบทบาทในการวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาตร์ทางเคมี เพื่อจัดทำแผนเฝ้าระวัง และเลือกสุ่มตรวจสินค้าตรงกับความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ที่มีสารตกค้างเพราะทางกฎหมาย อย. มีบทบาทเพียงการกำกับดูแล อีกทั้งยังมีข้อจำกัดจากการขาดแคลนบุคลากร รวมไปถึงเครื่องมือในการตรวจสอบตั้งแต่การรับเข้าสินค้าในบริเวณด่าน

เมื่อการตรวจสอบย้อนกลับยังเป็นปัญหาใหญ่ ปลายทางคือการกำกับดูแล?

ในภาพรวมของการดูแลคุณภาพสินค้าอาหารของ อย. จะมีหน่วยงานที่ช่วยตรวจสอบดูแลสินค้าสำหรับการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ สำหรับผลิตภัณฑ์จากภาคการเกษตร เกรียงไกร สุภโตษะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานคุณภาพสินค้าเกษตร อธิบายบทบาทของกรมวิชาการเกษตรที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมความปลอดภัยทางอาหารไว้ว่า มีน้ำหนักงานศึกษาวิจัยเทียบเคียงกับสัดส่วนงานบริการอยู่ที่ 80 ต่อ 20 ทำการศึกษาทดลองกระบวนการผลิตเพื่อเป็นแนวทางการเพาะปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีส่งมอบองค์ความรู้ต่อให้กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อพัฒนาศักยภาพการเพาะปลูกให้กับเกษตรกร

ซึ่งงานวิจัยที่ทางกรมรับผิดชอบจะสนับสนุนการทำงานภายในกรม มีบทบาทตรวจสอบ รับรองสินค้าอาหารเพื่อการส่งออก ตรวจโรคพืชที่อาจปะปนเข้ามากับผักผลไม้นำเข้า ส่งเสริม อย. ที่รับผิดชอบตรวจสอบสินค้าผลิตภายในประเทศ โดยกรมวิชาการเกษตรมีอำนาจตรวจสอบวัตถุอันตรายที่ขึ้นทะเบียนในพระราชบัญญัติ ตรวจสอบการตกค้างสารเคมีในปุ๋ยและโรคในพันธุ์พืช เชื่อมโยงข้อมูลมาตรฐานแหล่งเพาะปลูกจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เพื่อนำข้อมูลการรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกของเกษตรกรมาใช้ประกอบการพิจารณาความปลอดภัยของสินค้า

ปัญหาที่เป็นช่องว่างของกระบวนการตรวจสอบสินค้าส่งออกของประเทศตามความเห็นของตัวแทนกรมวิชาการเกษตร คือกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับที่ไม่สามารถติดตามต่อไปยังแหล่งที่เกษตรกรผู้ผลิต และมีข้อมูลเพียงบริษัทผู้ส่งสินค้ามายังโรงคัดแยก เนื่องด้วยยังไม่มีกฎหมายเข้าไปควบคุมมาตรฐาน กำหนดวิธีการจำแนกสินค้าอย่างเข้มแข็ง ส่งผลให้การจำหน่ายผ่านผู้แทนบริษัทที่รับสินค้ามาจากผู้ผลิตหลากหลายแปลง ไม่สามารถจำแนกสินค้าเมื่อตรวจพบความผิดปกติได้ว่า เป็นสินค้าที่ผลิตมาจากเกษตรกรรายใด ซึ่งเป็นจุดอ่อนในกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางการผลิต

สพ.หญิง คชาภรณ์ เต็มยอด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาคุณภาพเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ และ ดร. ชุติมา ขมวิสัย ผู้อำนวยการกองตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง กรมประมง ตัวแทนจากหน่วยงานความรับผิดชอบด้านผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ที่ปีที่ผ่านมามีน้ำหนักผลผลิตทางประมงอยู่ที่ 4.6 ล้านตัน และเป็นผลผลิตที่ได้จากธรรมชาติ 1.5 ล้านตัน เพาะเลี้ยง 1 ล้านตัน และในส่วนที่เหลืออีก 2 ล้านตัน เป็นการนำเข้าทูน่าเพื่อบรรจุกระป๋องและส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่ไทยเป็นประเทศกำลังหลักในการส่งออกทูน่ากระป๋องไปยังต่างประเทศ และเป็นบทบาทสำคัญของกรมประมงในการกำกับดูแลสินค้าประมงส่งออกของประเทศกว่า 1.7 ล้านตัน

ถึงแม้ปลายทางตามบทบาทหน้าที่คือการกำกับดูแลสินค้าส่งออก แต่กรมประมงดำเนินการตรวจคุณภาพอาหารตั้งแต่ต้นน้ำในการเพาะเลี้ยง กระบวนการจับและส่งต่อมายังผู้ดำเนินการคัดแยกสินค้า ก่อนส่งต่อสินค้าไปยังปลายทางไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศและในประเทศให้กับผู้บริโภค

เช่นเดียวกันกับกรมปศุสัตว์ สพ.หญิง คชาภรณ์ กล่าวถึงการทำงานของกรมปศุสัตว์ที่มีการปรับปรุงกฎหมายด้านอาหารในช่วงสิบปีก่อนหน้า เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการตรวจสอบสินค้าไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าส่งออก รวมไปถึงความปลอดภัยทางด้านอาหารสัตว์ และความปลอดภัยในการฆ่าสัตว์ก่อนนำเข้ากระบวนการแปรรูป ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย และยังขาดมิติของความปลอดภัยทางอาหาร โดยที่กรมปศุสัตว์ในช่วงเวลานั้นยังไม่สามารถเข้าไปกำกับดูแลได้ 

กลไกหนึ่งที่หน่วยงานรับผิดชอบด้านอาหารปลอดภัยทั้งสามกรมของกระทรวงเกษตรฯ คือการทำงานร่วมกันภายใต้กฎหมายและเครื่องมือที่แต่ละกรมสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของสินค้า เช่นกรณีของการตรวจสอบรับรองมาตรฐาน การส่งตรวจตัวอย่างในห้องปฏิบัติการ รวมไปถึงกฎหมายที่นอกจากจะกำหนดมาตรฐานร่วมกัน ก็มีกฎหมายเฉพาะของแต่ละหน่วยงานที่ช่วยสนับสนุนให้การตรวจสอบ มีความครอบคลุมตั้งแต่การค้าในกลุ่มโมเดิร์นเทรดไปจนถึงตลาดค้าปลีก

มกอช.รับจบขีดเส้นเกณฑ์ ‘ความปลอดภัย

หากผู้ดูแลความปลอดภัยด้านอาหารภายในประเทศคือ อย. ผู้ขีดเส้นมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า คือสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) พิทักษ์ ชายสม ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานสุขอนามัยสัตว์ กล่าวถึงภารกิจของ มกอช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 20 ปีให้หลังของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดูแลมาตรฐานทั่วไปของสินค้าพืชอาหารให้กับกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการรับรองมาตรฐานพื้นที่การเพาะปลูก ซึ่งกลุ่มเกษตรกรรู้จักในชื่อสัญลักษณ์ GAP ( Good Agricultural Practices ) ที่ต้องมีกระบวนการเพาะปลูกภายใต้มาตรฐานและอยู่ภายใต้การตรวจสอบของหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านมาตรฐานสินค้า

ในส่วนของมาตรฐานบังคับที่ มกอช. ตรวจสอบสารตกค้างและควบคุมกระบวนการคัดเลือกผักผลไม้ 4 ประเภท เป็นการตรวจสอบในผักผลไม้ที่มีความเสี่ยงพบสารเคมีตกค้าง เช่นถั่วลิสง ทุเรียนแช่แข็งและการคัดเลือกทุเรียนส่งออกเพื่อไม่ให้มีการปะปนทุเรียนอ่อนร่วมไปด้วย โดยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานที่ มกอช. กำหนดไว้ทั้งสิ้น 9 ประเภท 

การคัดเลือกมาตรฐานสินค้าปลอดภัย มาจากปัจจัยมูลค่าทางเศรษฐกิจ ปัญหาด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคและการค้าระหว่างประเทศ โดยจะใช้ข้อมูลทางวิทยาศาตร์รองรับมาตรฐานจากองค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ เช่น มาตรฐานอาหารจากทาง codex เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจกับประชาชนให้มีส่วนร่วมทางความเห็นของการกำหนดมาตรฐานอาหารปลอดภัย

ทำงานแยกส่วน’ ครอบ(แต่ไม่)คลุมทั้งซัพพลายเชน

ระหว่างบทสนทนาที่ได้มีการกล่าวถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหารปลอดภัย ไม่ว่าจะเกรียงไกร สุภโตษะ พระราชบัญญัติอาหารและยา พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร (มกส.) ที่ช่วยกำหนดมาตรฐานคุณภาพผักผลไม้ และเป็นการกระจายงานให้กับแต่ละหน่วยงานตั้งแต่ระดับการตรวจสอบ ศึกษาวิจัยและกำกับควบคุมคุณภาพ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการอุดช่องว่างของการตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหาร เช่นกรมวิชาการเกษตรที่ยกตัวอย่างการตรวจสอบมาตรฐาน GAP ที่มีพื้นที่การเพาะปลูกทั่วประเทศ 147 ล้านไร่ แต่ทางกรมมีงบประมาณและกำลังของผู้วิจัยในการตรวจสอบได้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรจำเป็นต้องรอคอยการตรวจสอบรับรองเป็นระยะเวลายาวนาน หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับภาคเอกชนในการเข้ามาตรวจสอบรับรองที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งแม้จะมีภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถตรวจสอบมาตรฐานสินค้าผ่านการคัดเลือกผู้ผลิตและตรวจสอบตั้งแต่ต้นทางของสินค้า แต่ก็ยังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนในสินค้าที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค และยังไม่ครอบคลุมไปถึงสินค้าที่อยู่ในกลุ่มตลาดค้าปลีก

“หน่วยงานแยกกันเกินไป เราควรรวมหน่วยงานเป็นหนึ่งเพื่อควบคุมกฎหมายเกี่ยวกับอาหารปลอดภัย ตรวจสอบสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออกให้ครอบคลุม”

เกรียงไกร สุภโตษะ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานคุณภาพสินค้าเกษตร

ปัญหาสำคัญต่อมาคือการแบ่งแยกหน่วยงานการกำกับดูแลระหว่างการตรวจสอบสินค้าภายในประเทศและสินค้าเพื่อการส่งออก อีกทั้งมาตรฐานบังคับทางกฎหมายยังจำเป็นต้องมีการส่งต่อให้กับ อย. หากหน่วยปฏิบัติงานทั้งสามกรมตรวจพบสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อผู้บริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างกำแพงของการส่งมอบข้อมูลระหว่างองค์กร ที่ควรมีข้อมูลด้านอาหารปลอดภัยเป็นฐานกลางให้ทุกหน่วยงานรับทราบร่วมกัน กระทั่งไปจนถึงการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำงานดูแลอาหารปลอดภัยให้เป็นองค์กรเดียวกันที่สามารถกำกับดูแลมาตรฐานปลอดภัยได้ทั้งห่วงโซ่การผลิตก่อนส่งต่อถึงมือผู้บริโภค

ด้านหน่วยปฏิบัติในพื้นที่อย่างกรมปศุสัตว์ พบปัญหาจากทางกฎหมายที่ทางกรมใช้มาตรฐานจากทาง อย. มกอช. และ มกส. ที่ช่วยดูแลมาตรฐานฟาร์มเพาะปลูก ในแง่หนึ่งคือการลดช่องว่างทางกฎหมายที่กรมฯ ไม่ได้ถือครองและไม่ครอบคลุมกับการทำงานที่ดูแลการส่งเสริมและตรวจสอบมาตรฐานเนื้อสัตว์ให้มีความปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีมาตรฐานการสร้างความปลอดภัยที่ควรผลักดันให้เป็นกฎหมาย เพื่อให้กรมปศุสัตว์กำกับดูแลผู้ผลิตและผู้ค้าให้มีมาตรฐานการผลิตร่วมกันทั่วประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคโดยไม่ใช่เพียงการทำแคมเปญรณรงค์ด้านมาตรฐานความปลอดภัยในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น 

ดร. ชุติมา กล่าวเสริมถึงบทบาทหน่วยงานผลิตของกรมประมงที่นอกเหนือไปจากการสร้างแรงจูงใจให้กับเกษตรกรเข้าร่วมรับรองมาตรฐานการเพาะปลูกของ GAP ลดขั้นตอนความยุ่งยากในการขอเครื่องหมายการรับรองให้กับแหล่งผลิต แต่ยังคงวางกฎเกณฑ์มาตรฐานให้มีความรัดกุมและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายผลไปยังสินค้านำเข้า ที่ต้องมีการขยายผลและเพิ่มระดับการสุ่มตรวจสัตว์น้ำแช่แข็ง ซึ่งแม้กรมประมงจะยังไม่ได้รับมอบบทบาทให้ครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบสินค้านำเข้า แต่การมีห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานและสามารถวิเคราะห์ผลได้ในเชิงลึก ถือเป็นการเริ่มต้นวางบทบาทการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าประมงให้ครอบคลุมภายในประเทศ นำเข้าและส่งออกได้สมบูรณ์

กำลังคน งบประมาณ แรงสนับสนุนทางวิจัย และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ท่ามกลางภารกิจการสร้างความปลอดภัย ที่ไม่อาจผลักภาระให้กับหน่วยงานใดเพียงกลุ่มเดียว และยังคงเป็นความท้าทายของผู้ปฏิบัติที่ยังไม่สามารถสร้างความเบ็ดเสร็จในการมีอำนาจตรวจสอบสินค้าได้อย่างรัดกุม ครอบคลุมสายพานการผลิตภายในประเทศ นำเข้าและส่งออก ประเมินความเสี่ยงที่อาจตรวจสอบสารเคมีตกค้างในอาหาร ให้สอดคล้องกับการสุ่มตรวจ ที่มีประสิทธิภาพ ขยายผลการตรวจสารเคมีอันตรายได้ตรงกับผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยง สร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมตรวจรับรองมาตรฐานของเกษตรกร

“เราต้องร่วมกันตามหาว่าความเสี่ยงของผู้บริโภคอยู่ตรงจุดไหน เพื่อไม่ให้กระจายตรวจสินค้าโดยที่วันนี้ยังไม่ทราบว่า ความเสี่ยงด้านอาหารปลอดภัยของประเทศที่ภาครัฐต้องเร่งเข้าไปกำกับดูแลคือสิ่งใด”

สพ.หญิง คชาภรณ์ จากกรมปศุสัตว์กล่าวทิ้งท้าย

รับชมเสวนาย้อนหลัง : พลิกบทบาทภาครัฐเพื่อระบบอาหารปลอดภัย