'เพื่อไทย' ที่ไม่มีวันเฉลิม ราคาที่(ใคร)ต้องจ่าย - Decode

‘เพื่อไทย’ ที่ไม่มีวันเฉลิม ราคาที่(ใคร)ต้องจ่าย

Play Read
Reading Time: 3 minutes

เรา ‘เคย’ ไม่รู้จักชื่อของ ต้าร์ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์

‘เรา’ คือหนึ่งในนั้น ที่หากไม่เกิดการรัฐประหารในปี 2557 คงไม่มีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวการอุ้มหายในต่างแดน ไม่เคยได้รับรู้บาดแผลที่เกิดจากกระบวนการที่ทำลายหลักสิทธิมนุษยชน 

แรกเริ่มของการรัฐประหาร วันเฉลิมเป็นหนึ่งคนที่ถูกหมายเรียกจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนระยะเวลาจะทิ้งห่างไป 6 ปี ที่มีข่าวการสูญหายของวันเฉลิมซึ่งลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในกัมพูชา และขาดการติดต่อไปในวันที่ 4 มิถุนายน 2563 การถูก ‘อุ้มหาย’ ของวันเฉลิมและผู้ลี้ภัยทางการเมืองเป็นที่รับรู้ในสื่อสาธารณะ อีกทั้งสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงระยะเวลานั้นที่มีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชน ชื่อของวันเฉลิมก็ถูกนำมากล่าวถึงในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองและถูกบังคับให้สูญหายภายใต้สถานการณ์ความเปราะบางของสังคมประชาธิปไตย (ตอนนั้นพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ครั้งนี้มาจากการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาลผสมในนามพรรคพลังประชารัฐ)

แต่หนังสือ ‘ราคาของความจริง’ ที่เขียนผ่านประสบการณ์ของพี่เจน – สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธ์ พี่สาวของวันเฉลิม เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของ “ความจริง” ในฐานะครอบครัวของผู้ถูกอุ้มหายกับความพยายามตามหาความยุติธรรมให้กับน้องชายมาตลอด 5 ปี จนแทบไม่เหลือพื้นที่ของความจริงในกระบวนการยุติธรรม มีเพียงคำตอบกลับของรัฐที่ว่า ‘ไม่มีเหตุการณ์อุ้มหายในกัมพูชา’

ราคาของ ‘รัฐประหาร’ การต่อสู้เพื่อความจริงของ ‘ญาติเหยื่อ’ ผู้ถูกอุ้มหาย

ภาพจำที่มีต่อต้าร์ คือคนที่สนใจทางการเมืองตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเข้ามาทำงานในแวดวงพรรคเพื่อไทย เป็นทีมงานหาเสียงในช่วงลงสมัครช่วงชิงตำแหน่งผู้ว่ากทม. ของพงศภัศ พงษ์เจริญ ก่อนจะเข้าไปทำงานในพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัว และแน่นอนว่าตั้งแต่ก่อนประกาศเรียกของ คสช. หลังรัฐประหารยึดอำนาจ ต้าร์ตัดสินใจลี้ภัยไปก่อนหน้าแล้ว

ช่วงปี 63 ที่เหมือนเหตุการณ์อุ้มหายผู้ลี้ภัยทางการเมืองไทยจะซาลง แต่สัญญาณการถูกติดตามตัวยังไม่หายไป ทำให้ผู้ลี้ภัยหลายคนเลือกไปใช้ชีวิตยังประเทศที่สาม แต่ต้าร์ยังไม่ไปเพราะเชื่อว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้น

“ส่วนอีกเหตุผลที่ต้าร์ไม่ไปไหน เพราะเชื่อว่าถ้าเลือกตั้งใหม่แล้วพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เขาจะนิรโทษกรรมและจะได้กลับบ้าน”

สายโทรศัพท์สุดท้ายที่พี่เจนคุยกับต้าร์ถูกตัดไปหลังการถูกอุ้มหาย ตามมาด้วยอีกหลายสายที่เข้ามาพร้อมการช่วยเหลือ ไปจนถึงตอนให้ข้อมูลในชั้นกรรมาธิการ ประตูของการตามหาความจริงบานแรก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตาร์ก็ถูกปิดลง

“ก็ไปแจ้งเลย คุณอยากจะไปแจ้งก็ไปแจ้ง จะไปแจ้งตรงไหนก็ไปแจ้ง”

คือคำตอบจากตัวแทนกองปราบฯ เมื่อสอบถามว่าถ้าหากต้องแจ้งความ จะต้องแจ้งที่ไหน ต้องทำแบบใด

หมุดหมายชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังจากที่ได้คุยกับอัยการ ว่าถ้าจะสู้ต้องทำใจ อย่างเร็วสองปีถึงจะเห็นรูปเห็นร่าง

…ถ้าอย่างช้า ไม่รู้เลยว่าพี่จะไหวไหม

หลังจากตามเรื่องในประเทศ การเดินทางไปตามหาตาร์จากเบาะแสในกัมพูชา กลางล็อกดาวน์ของโควิดในปลายปี 63 ก็เกิดขึ้นตามมา ช่วงเวลาที่การเดินทางยุ่งยาก เพื่อออกไปเจอสิ่งที่ยุ่งยากยิ่งกว่า เพราะตำรวจทางกัมพูชาพูดว่าไปตามตั้งแต่มีข่าว ไม่มีคนชื่อวันเฉลิมอยู่ในกัมพูชา ไม่มีใครรู้จัก ไปตรวจกล้องวงจรปิด ก็ไม่เจอเหตุการณ์อะไร ส่วนศาลแขวงกัมพูชา ที่มีหมายเรียกเข้าไปให้ข้อมูล ก็ไม่ตอบไปมากกว่า จะฟ้องแพ่งหรืออาญา ถ้าเรียกค่าเสียหายต้องไปคดีแพ่ง พอถามกลับไปว่าถ้าให้ฟ้องคดีแพ่ง แปลว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่ 

“ถ้าคุณจะมาเรียกร้องแบบนี้ ผมไม่คุยด้วย” นี่คือความจริงที่เราได้รับจากกัมพูชา

ส่วนความจริงจากการไปเสาะแสวงหาถึงสถานที่เกิดเหตุ เบาะแสจากพยานแวดล้อม (ที่ไปค้นหามาด้วยตนเอง) เชื่อมโยงไปถึง เคลียง ฮวด ที่ช่วยดูแลความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยในกัมพูชา ว่าในวันเกิดเหตุรถยนต์ลักษณะใกล้เคียงกับของเคลียง ฮวด ขับเข้ามาในช่วงเวลาที่ต้าร์ขาดการติดต่อ

เคลียง ฮวด มีสายสัมพันธ์กับผู้ลี้ภัยในกัมพูชาในฐานะคนดูแลเรื่องความเป็นอยู่และความปลอดภัย ในอีกด้านหนึ่งก็มีความสนิทสนมที่ดีกับครอบครัวชินวัตร รวมไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงและนักการเมืองไทย เห็นได้จากภาพที่อยู่ในโซเชียลมีเดียของฮวด ที่มีภาพถ่ายร่วมกันกับผู้ลี้ภัย หนึ่งในนั้นคือภาพคู่กับทักษิณ ชินวัตร และฮุน เซน ผู้นำของกัมพูชาที่ได้พบกันหลังจากทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยในปี 2566

และก็คือคนเดียวกับเคลียง ฮวด ที่ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาในบทสนทนาที่สื่อต่างเรียกกันว่า ‘คลิปเสียงหลุด’ ระหว่างแพทองธาร (ขณะนั้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี) และฮุน เซนเกี่ยวกับประเด็นด้านพรมแดนในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยแพทองธารเลือกใช้สรรพนามเรียก เคลียง ฮวด ว่า ‘พี่ฮวด’ แทนความสนิทสนม

แต่ไม่เคยมีการออกมาตอบในสาธารณะว่าเคลียง ฮวด เกี่ยวข้องอย่างไรกับการหายไปของต้าร์ เมื่อมีผู้สื่อข่าวไปขอสัมภาษณ์ก็ปฏิเสธการรู้เห็น เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับครอบครัวชินวัตรที่มีรูปถ่ายปรากฏร่วมกัน ภาพเหล่านั้นก็ถูกลบออกไป

ส่วนคำตอบจากรัฐไทย หลังจากมี พ.ร.บ. อุ้มหายในปี 2565 ก็ไม่มีความคืบหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้าร์ ตีกลับมาที่เรา ในฐานะพี่ที่สูญเสียน้องจากการอุ้มหาย ที่ระหว่างการค้นหาความจริง พี่เจนถูกซุ่มดักฟังเสียงระหว่างการพูดคุยโทรศัพท์ ถูกติดตามตัวจากทั้งในและนอกเครื่องแบบ ถูกอยู่ในรายชื่อเป็นภัยความมั่นคง ทั้งหมดเป็นผลลัพธ์จากการตามหาความจริงมาตลอด 5 ปี ที่แม้แต่จะนำเรื่องราวมาเขียนเป็นหนังสือในฐานะญาติของเหยื่อ ก็ไม่ได้ให้พื้นที่พูดถึงบุคคลสูญหาย

“การสูญหายของตาร์ คือความสูญเสียของเราด้วย เพราะหลายสิ่งในตัวเราถูกกัดกินด้วยความเบื่อหน่าย …. กลายเป็นว่า บนเส้นทางการตามน้อง เราก็ตามหาความสุขและวิถีชีวิตปกติชนที่หายไปแบบไร้ร่องรอยด้วยเหมือนกัน”

สบตากับ ‘ความจริง’ 

“พี่คิดว่า จะไม่มีใครตามเรื่องนี้แล้ว”

เรามาเจอพี่เจน สิตานัน ตามหมายข่าวในสัปดาห์หลังจากที่มีบทสนทนาพูดคุยระหว่างแพทองธาร และฮุน เซน กับเคลียง ฮวด ‘คลิปเสียงหลุด’ จนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในอีกสัปดาห์ถัดมา

บทสนทนาเรื่องชายแดนระหว่างสองประเทศ บอกอะไรกับประชาชนได้หลายเรื่องราว และหนึ่งเรื่องที่มั่นใจ คือความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ‘เพื่อไทย’ กับผู้นำกัมพูชา และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พี่เจนนำหลักฐานที่มีอยู่ในมือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อทวงถามความคืบหน้าของคดี และยื่นหลักฐานเพิ่มเติมในการยืนยันความสัมพันธ์ของเคลียง ฮวด กับกลุ่มผู้ลี้ภัยทางการเมืองในกัมพูชา ว่าเคลียง ฮวดและฮุน เซน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไล่ล่าผู้เห็นต่างในไทย อีกทั้งยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเคลียง ฮวดกับวันเฉลิม ที่มีการถ่ายภาพร่วมกันในช่วงที่วันเฉลิมลี้ภัยในกัมพูชา

ซึ่งถ้ารัฐบาลเพื่อไทยสามารถคุยกับทางกัมพูชาได้ (ในเวลาที่ความสัมพันธ์ยังคงดีต่อกัน) การสอบถามไปทางกัมพูชาเรื่องบุคคลสูญหายที่ทำงานร่วมกับพรรคของตนเองนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่การที่ไม่เคยมีคนของพรรคเพื่อไทยออกมาพูดถึงการอุ้มหายไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม ก็ยากจะคาดเดาได้ว่าอะไรคือความจริงที่เกิดขึ้นในกลไกสิทธิมนุษยชนของพรรคเพื่อไทย

แค่แรกเริ่มก็ไม่ราบรื่น เราเดินไปพร้อมกับทีมทนายจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ถึงจุดที่คุยกันไว้ว่าจะให้สัมภาษณ์กับสื่อที่มาติดตามก่อนยื่นหนังสือ แต่ความไม่ราบรื่นแรกที่เกิดขึ้นคือไม่มีเจ้าพนักงานอัยการคนใดลงมารับหนังสือและพยานหลักฐาน ไม่ราบรื่นต่อมาคือทางทีมถูกห้ามไม่ให้ใช้พื้นที่แถลงข่าว ก่อนจะต้องใช้เวลาเจรจาอยู่พักหนึ่ง ถึงจะมาจบลงที่จัดแถลงข่าวด้านหน้าห้องยื่นเอกสาร 

สุดท้ายได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติม แต่จะถึงมือของอัยการหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา แต่มีความคืบหน้าว่ากรรมาธิการฯ ด้านความมั่นคงเชิญทางพี่เจนเข้าไปชี้แจงหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็คงเหมือนกับที่พี่เจนบอกว่าเป็นจังหวะดีที่คลิปเสียงสนทนานั้นออกมา เพราะหากเป็นก่อนหน้า คงไม่มีใครสนใจว่าเคลียง ฮวดคือใคร ?

ประโยคสั้น ๆ ระหว่างนั่งพูดคุยกับพี่เจน ที่ขยายความรู้สึกให้เราฟังว่าในความเป็นจริง รู้สึกโกรธมากที่ตอนแรกถูกขอไม่ให้แถลงข่าว ทั้งที่มีใจความเพียงแค่ขอมาติดตามความคืบหน้าและยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่อารมณ์ทั้งหมดก็ต้องกดลงไว้ก่อนเพื่อให้ได้ยื่นหนังสือในวันนี้ และเชื่อว่าไม่ใช่วันแรกที่พี่เจนต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองตลอดระยะเวลาการตามหาความจริงให้กับวันเฉลิม จากการที่เข้าไปเดินเรื่องกับทุกภาคส่วนของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสูญหาย การเจรจาด้านต่างประเทศ การดำเนินกฎหมายในประเทศกัมพูชา ทุกเรื่องมีกลไกบางอย่างที่ทำให้ ‘ความจริง’ เป็นสิ่งที่ต้องตามหา มีราคาที่ครอบครัวผู้ถูกอุ้มหายต้องแลกไป

เราคุยไปถึงแนวทางการต่อสู้ของครอบครัวเหยื่อผู้ถูกอุ้มหาย อนุสัญญา CED ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลบังคับให้หายสาบสูญระหว่างประเทศ ที่วันนี้ทั้งไทยและกัมพูชาเข้าร่วมในอนุสัญญา แต่ความจริงจากปากของรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครรู้ว่าวันเฉลิมอยู่ที่ใด 

และจะมีทางใดให้ความจริงปรากฎขึ้นกับเหตุการณ์การถูกอุ้มหายอย่างไม่เป็นธรรม ?

นอกจากเปิดตัวหนังสือในช่วงเวลาที่วันเฉลิมขาดการติดต่อไป 5 ปี พี่เจนยังคงทำทุกอย่างที่จะทำได้ภายใต้ความจริงที่ถูกรัฐทำให้เลือนลางหายไป อย่างน้อยที่สุดที่เรามองเห็น คือการเป็นแนวทางให้กับผู้สูญเสียคนในครอบครัวจากการถูกอุ้มหายในกรณีอื่น ๆ

ท้ายที่สุดอาจแทนใจผู้ที่ต้องเผชิญกับความอยุติธรรมในกลไกของรัฐ คืออย่าให้กรณีการอุ้มหายไปเกิดซ้ำกับใครอีก 

Playread : ราคาของความจริง
เขียนและเรียบเรียง : ดอว์น
ออกแบบภาพปกและรูปเล่ม : fella book design
โรงพิมพ์ : บริษัท พี.เพรส จำกัด
สนับสนุนโดย : มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน