หมดไฟ - Decode

หมดไฟ

Human & Society
Reading Time: 2 minutes

ประเทศเต็มไปด้วยคำตอบอันปราศจากคำถาม

วีรพร นิติประภา

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน เราเห็นผู้คนเริ่มออกอาการ ’หมดไฟ’ กันมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่จำกัดแต่ในกลุ่มคนอายุมากที่ทำงานมาครึ่งค่อนชีวิตแล้วเท่านั้น แต่ยังระบาดไปสู่กลุ่มคนทำงานอายุน้อย ๆ เหมือนโรคติดต่ออีกด้วย และดูเหมือนเราจะพูดถึงเรื่องนี้ในแง่ส่วนตัวกันเสียมากกว่า 

…และลืมไปว่าเราทุกคนล้วนเป็นผลผลิตของสังคม 

ประการแรกสุด เด็ก ๆ ของเราถูกเลี้ยงมาให้ไม่มีความหลงใหลใฝ่ฝัน ทัศนคติการเลี้ยงดูเด็ก ๆ ของเราเป็นแบบโลกเก่าสมัยหลังสงคราม ที่มุ่งหวังให้ประชากรมีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เด็ก ๆ ต้องเป็นเด็กดีเพื่อที่จะโตขึ้นเป็นคนดี

พอแนวคิดนี้มารวมกับแนวคิดดั้งเดิมของเอเซียที่มองว่า มนุษย์ที่ดีต้องมีความกตัญญูกตเวที ตอบแทนบุญคุณและเลี้ยงดูบุพการีเมื่อแก่เฒ่า กับระบบรัฐสวัสดิการที่อัตคัตกระพร่องกระแพร่ง …พ่อแม่ซึ่งเชื่อมีลูกคือการมีคนเลี้ยงดูตนยามแก่เฒ่า จึงทุ่มเทให้กับการศึกษาของบุตรหลานเสมือนเป็นการลงทุน ค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพสูงมากเมื่อคิดเป็นสัดส่วนกับรายได้ รัฐสวัสดิการด้านการศึกษาที่ไม่ดีพอ ทำให้ครอบครัวส่วนใหญ่ใช้จ่ายทรัพยากรเกินกว่าที่ควร …หลายครอบครัวเกือบทั้งหมด ไปกับการศึกษาของลูกหลาน จบลงที่นอกจากไม่เหลือเงินเก็บเป็นค่าใช้จ่ายหลังเกษียณกับค่ารักษาพยาบาลตัวเองในวัยชรา และยังอาจมีหนี้สินผูกพัน

เราจึงต้องผลักดันเคี่ยวเข็ญลูกหลานให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ ไม่มีพื้นที่ว่างให้กับการพลาด 

การมีรัฐบาลทหารเข้ามาปกครองบ่อยครั้งยังทำให้เรามีแนวคิดอำนาจนิยมแบบทหาร ซึ่งไม่แค่แนะนำ แต่ยังกำกับ  ควบคุม กดดันและบังคับ วางกฎเกณฑ์กับบทลงโทษเคร่งครัด ถึงขั้นห้ามเด็ก ๆ ไม่ให้ทำสิ่งที่เราคิดว่าไร้สาระอย่างเล่นเกม อ่านการ์ตูน ดูหนัง ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เด็ก ๆ พลาดโอกาสค้นพบความชอบ ความถนัด ศักยภาพซ่อนเร้นอื่น ๆ ที่ช่วยให้รู้จักตัวเองตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่ยังพลอยพลาดโอกาสที่จะมองเห็นความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกมากมายที่โลกนี้หยิบยื่นให้ด้วย

เราแค่กลัว กลัวว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เข้าได้จะเรียนไม่จบ เรียนจบจะไม่มีงานทำ มีงานก็ไม่ได้งานที่มีรายได้ดีพอและมีความมั่นคงพอ เราสนใจแค่จะสอนเด็ก ๆ แค่ว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี ทำแต่เรื่องที่ดี และห้ามทำเรื่องที่ไม่ดี โดยมองข้ามความสำคัญของความชอบ ซึ่งนอกเหนือจากเป็นหนทางที่ช่วยให้คนรู้จักตัวเอง ยังเป็นหนทางสู่ผลเลิศของการเป็นมนุษย์ด้วย หากได้ทำในสิ่งที่ชอบทำ…คนก็จะทำสิ่งนั้นอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ ทำได้ยาวนาน ต่อเนื่อง ไม่เบื่อหน่าย ยิ่งทำมากทำนานก็ยิ่งมีทักษะเก่งกาจ  ความสนใจและตั้งใจทำในสิ่งที่ชอบยังทำให้เข้าใจลึกซึ้งถึงมิติต่าง ๆ ของสิ่งนั้น ซึ่งสามารถปรับใช้งานอื่น ๆ ได้ด้วย

แต่เรากลับพยายามเก็บเด็ก ๆ เอาไว้ในกรอบที่เราเห็นว่าดีอย่างการเรียนวิชาการเท่านั้น เพราะตั้งเป้ามาแล้วให้ลูก ๆ ต้องเรียนเก่งและเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

แนวคิดอำนาจนิยมแบบทหารยังทำให้เราเห็นดีเห็นงามกับการทำให้คนเหมือน ๆ กัน …ใส่เครื่องแบบนักเรียนเหมือนกัน ตัดผมทรงนักเรียนเหมือนกัน คุณภาพก็จำกัดเอาไว้แค่ด้านเดียว…วิชาการ กิจกรรมก็จำกัดเอาไว้แต่เรียน  ความเป็นเด็กดีก็มีแบบเดียว…เชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย  สรุปก็คือเราสร้างประชากรที่ปราศจากความหลงใหลใฝ่ฝัน ขาดแคลนแรงบันดาลใจ เราสร้างมนุษย์ที่ไม่เคยมีโอกาสทดลองผิดทดลองถูก จนลองผิดลองถูกไม่เป็น  คิดนอกกรอบไม่เป็น คิดสร้างสรรค์ไม่เป็น คิดแตกต่างไม่เป็น คิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่เป็น

แค่นี้ก็คงพอมองเห็นแล้วว่าประชากรของเราไม่ได้แค่หมดไฟ …แต่ถูกเลี้ยงให้ไม่มีไฟมาตั้งแต่ต้น 

นอกจากไม่มีไฟ หรือมีแค่แวบวาบ ประชากรของเรายังคับแคบและตื้นเขิน และไม่เก่ง การมีแต่คนคับแคบ ตื้นเขินและไม่เก่งอย่างที่ว่าจำนวนมากยังบ่มเพาะวัฒนธรรมประหลาดขึ้นในสังคมไทยแลนด์องลี่ด้วย …ประจบประแจง  แบ่งพรรคแบ่งขั้ว เม้าเรื่องส่วนตัว ความดีเอาเข้าตัวความชั่วโยนใส่คนอื่น นินทาว่าร้าย หน้าไหว้หลังหลอก ก็นิสัยไม่ดีประจำตัวคนไร้ความสามารถนั่นแหละที่ระบาดในทุกหน่วยงาน องค์กร ออฟฟิศ ทุกที่ทั้งประเทศ   

นิสัยไม่ดีของคนไม่ไร้ความสามารถที่ทำกันจนกลายเป็นเรื่องปกติไม่รู้สึกผิดนี้เอง ที่สนับสนุนคอร์รัปชัน การฮั้ว  หาประโยชน์มิชอบจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ไปจนถึงการผูกขาด ใครไม่ใช่พวกพรรค ไม่ตามน้ำ ไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือมีผลงานโดดเด่น พิเศษ แตกต่างก็จะถูกจับบอนไซ ใส่ความ กลั่นแกล้ง แทงข้างหลัง เลื่อยขาเก้าอี้  ถ่วงความเจริญนานัปการไม่แค่ในบริษัทหน่วยงาน แต่ยังลามไปทั่วจนกลายเป็นประเทศไร้ความสามารถ

และแน่นอน …นี่ก็เป็นอีกเหตุใหญ่ที่บั่นทอนผู้คนทำงานให้หมดไฟ  

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความไม่สามารถของประชากรยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ยิ่งในโลกใหม่ที่หัวใจของธุรกิจกลายเป็นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ประเทศเราไม่เพียงแต่ทำอยู่แต่สิ่งที่เคยทำ  แบบที่เคยทำ ไม่มีการปรับตัว ไม่มีความคิดสร้างสรรค์และไม่มีนวัตกรรม ต้องเผชิญกับวิกฤตความตกต่ำต่อเนื่อง  ยิ่งตกต่ำปัญหาคอร์รัปชันก็ยิ่งรุนแรง และไล่ลามไปทุกระดับทุกหย่อมหญ้า ทำให้การฮั้วและการผูกขาดยิ่งเข้มแข็ง มิหนำซ้ำยังเปิดช่องให้ทุนต่างชาติและทุนเทาต่าง ๆ รุกรานอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ไม่พอยังปล่อยให้ทุนเหล่านี้ทำลายทรัพยากร อากาศพิษ อาหารพิษ ขยะพิษ แหล่งน้ำพิษ   

แต่ท่ามกลางสารพัดพิษที่กัดกร่อน…การเมืองก็ยังกระท่อนกระแท่น พิพักพิพ่วน เลือกได้พรรคที่ต้องการก็ถูกยุบ เปลี่ยนตัวใหม่เข้ามาก็เอาแต่เล่นการเมือง ไม่ดูดำดูดีปัญหานับล้าน ๆ ที่กำลังสุมรุมประชาชน รัฐธรรมนูญก็ถูกเขียนมาให้มีกับดักขวากหนามทางตันอยู่เต็มไปหมด แล้วไหนยังจะต้องวิตกว่าจะมีรัฐประหารล้มกระดานเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

การชะงักงันในขณะที่ประเทศอื่นเติบโตไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง ทำให้ประเทศไม่แค่อยู่กับที่ แต่ยังถูกทิ้งรั้งท้ายประหนึ่งเดินถอยหลัง และจมปลัก ไม่พอ…จู่ ๆ โลกก็สลับขั้วหัวหางจากกลายเป็นดิจิตอลเต็มรูปในขณะที่เรายังติดในระบบคิดแบบแอนะล็อก จู่ ๆ โลกก็มีเอไอซึ่งฉลาดกว่าคนหลายพันเท่าแถมยังพัฒนาตัวเองรวดเร็วขึ้นมา จู่ ๆ ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนกลับตาลปัตร งานที่พ่อแม่เคยเชื่อว่าดีกระทั่งบังคับให้ลูกเรียนเมื่อหลายปีก่อนก็สาบสูญหาย หรือมีอยู่ก็ไม่ได้รุ่งเรืองหรูหรา สิ่งที่อยู่ในความต้องการของตลาดก็อัตคัตขาดแคลน

แล้วลองนึกถึงประชาชนคนธรรมดา ตอนเด็ก ๆ จะเล่นก็ไม่ได้เล่น โดนบังคับให้เอาแต่เรียน เรียนก็เรียนวิชาที่ไม่ได้ชอบ เพื่อจะจบออกมาทำงานที่ตัวเองก็ไม่ชอบ ค่าตอบแทนก็ไม่ได้มาก ความก้าวหน้าก็ไม่มา ความมั่นคงก็ไม่มี โอกาสจะทำบริษัทของตัวเองเพื่อจะมีเงินมีทองพอตั้งตัวแทบเป็นไปไม่ได้ จะรักใครสักคนก็ไม่กล้า จะแต่งงานก็ยังแพงเกินไป จะมีลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่จะเลี้ยงตัวยังยาก อย่าว่าแต่ดูแลบุพการีอย่างที่ถูกโปรแกรมมาแต่ต้น  ทุกอย่างที่วาดหวังเป็นพลังใจล้วนมีสิทธิ์พังทลายได้ตลอดเวลา เหลือแค่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปวัน ๆ ในบริษัทที่ตัวเองเกลียด ท่ามกลางผู้คนไม่เอาไหน ดุร้าย และนิสัยไม่ดี เพื่อความอยู่รอด

…โดยไม่มีความหวัง

มองลึกลงไปเราจะเห็นโยงใยที่เชื่อมร้อยกันทอดแล้วทอดเล่า เป็นซีรีส์ความยาวหลายร้อยตอนกว่าจะมาถึงจบที่หมดไฟ  โดยที่เราไม่ได้ตระหนักเลย ว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากการเมืองที่ล้มเหลว ฟอนเฟะ ยาวนาน

และเราหลายคนไม่ได้ตระหนักเลยว่าเราไม่ได้หมดไฟซังกะตายแค่เรื่องงานเท่านั้น …แต่ยังหมดไฟหวังที่ส่องนำชีวิตด้วย