“ในความคิดเราคิดว่า Gap year เป็นคำที่สวยหรูมาก แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่ได้ให้เวลาตัวเองค้นหาตัวเองและสิ่งที่ชอบจริง ๆ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถ Gap year ด้วยเหตุผลนี้ได้จริง ๆ” วรลักษณ์กล่าว
จากประโยคดังกล่าวที่วรลักษณ์กล่าวมาข้างต้น ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เหตุใดคำว่า Gap year กลายเป็นโอกาสสำหรับทุกคน แต่กลับกลายเป็นคำที่สวยหรูและเพ้อฝันสำหรับบางคน
De/code สัมภาษณ์วรลักษณ์ คล้ายจินดา เจ้าของโพสต์ที่พูดถึงบทสนทนาระหว่างครอบครัวของเธอ ทำให้เธอ(เกือบ)ได้ gap year เพราะฐานะทางการเงินของบ้านเธอไม่มีทุนพอที่จะเรียน แต่เธอก็ฝืนที่จะตัดสินใจเรียน เนื่องจากฐานะของเธอการที่จะกลับเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฐานะทางการเงินของเธอ และ ชนชนก แก้ววัน ผู้ที่ตัดสินใจ gap year เพราะความไม่แน่ใจในคณะที่เธอจะเข้า แต่เมื่อเธอได้กลับเข้ามาสอบในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง กลับพบเจอกับเกณฑ์ที่ไม่เอื้อสำหรับ Gap year
หากเราไปดูงานวิจัยเกี่ยวกับ Gap year ของ American Gap Association ร่วมกับ Temple University พบว่า แรงจูงใจสำหรับการ Gap year ของนักศึกษาที่เลือกที่จะ Gap year คำตอบอันดับต้น ๆ คือ การได้หาประสบการณ์ชีวิตด้วยตนเอง (92%) เพื่อเดินทางและสัมผัสวัฒนธรรมอื่น (85%) และเพื่อพักจากเส้นทางการเรียนวิชาการ (82%) โดยผลลัพธ์ที่บรรลุเป้าหมายมีผลสำเร็จมากถึง 98% อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองประมาณ 96% และยังเพิ่มทักษะการสื่อสารระหว่างผู้อื่นราว 93%
นอกจากนี้ผลสำรวจจากผล GPA โดย Robert Clagett อดีตคณบดีฝ่ายธุรการที่ Middlebury College พบว่า นักศึกษาที่ตัดสินใจ Gap year มักจะทำผลงานได้ดีกว่าในวิทยาลัยโดยมี 0.1 ถึง 0.4 มีผลเชิงบวกที่คงที่ตลอดระยะเวลาสี่ปี โดยอาจจะมีผลมาจากการเรียนรู้ การพักผ่อน และการเตรียมพร้อมเข้าสู่วิทยาลัยจากการ Gap year ทำให้ความกดดันจากการก้าวเท้าเข้าสู่มหาวิทยาลัยน้อยลง อีกทั้งยังอาจมีการวางแผนเตรียมพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในการเรียนหรือการปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ ทำให้ Gap year เป็นทางเลือกที่หลายคนควรเข้าถึงได้
แต่นั้นก็อาจจะยังเป็นเพียงแค่ฝัน เพราะ Gap year ก็จำเป็นต้องใช้เงิน โดยผลลัพธ์จากการหาประสบการณ์ การเดินทางหรือการสัมผัสวัฒนธรรมอื่น ๆ ก็อาจต้องใช้เงินเป็นปัจจัยหลัก มักจะมีโปรแกรมสำหรับ Gap year เช่น การแลกเปลี่ยน งานจิตอาสาในต่างประเทศ เป็นต้น ที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายมากถึงหลักแสนเลยทีเดียว แต่ก็อาจไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมนี้เพื่อ Gap year แต่ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าหาประสบการณ์จากการเรียนรู้ต่าง ๆ ทำให้ Gap year ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น แต่หลายคนต้องจำยอมด้วยฐานะทางการเงินของตัวเอง
“ตอนแรกเราก็จะได้ Gap year เหมือนกัน เพราะฐานะทางบ้านเขาค่อนข้างมีปัญหาทางการเงิน แต่เราก็เลือกที่จะเข้าเรียนต่อ บ้านเราเป็นฐานะปานกลางเกือบน้อย เลยคิดว่าครอบครัวที่ฐานะแบบนี้ การศึกษาที่ดีก็ถือเป็นโอกาส เพื่อที่เราจะสามารถเสริมฐานะครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วย ถ้าคนที่ฐานะอย่างเราพักการเรียนเอาไว้ แล้วออกมาทำงาน มันยากที่จะกลับเข้ามาเรียนอีกครั้ง เมื่อไหร่ที่เราออกไปทำงานหาเงินได้ สำหรับบางครอบครัวเขาไม่ปล่อยให้คนที่หาเงินได้ออกไปเรียนหรอกค่ะ เราก็เลยคุยกับทางบ้าน ฝืนแล้วก็ทำงานเก็บเงินเพื่อเรียนต่อให้ได้” วรลักษณ์ กล่าว
จึงทำให้การ Gap year เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กไทยที่เขาจะมีเวลาได้ลองทำในสิ่งที่เขาไม่เคยได้ลองทำ ทำให้ตัดสินได้ง่ายขึ้นเวลาไปลงคณะสาขาที่ชอบจริง ๆ แต่ก็ต้องแลกมากับต้นทุนสำหรับการ Gap year และการฝ่าฟันทัศนคติของผู้ใหญ่บางคนยังสำคัญกับนักเรียนไทยอยู่”
ยิ่งไปกว่านั้น การกลับมาเข้าสู่มหาวิทยาลัยในไทยก็มีความยากลำบากด้วยเช่นกัน อย่างกรณีที่ระเบียบมหาวิทยาลัยหลายแห่ง กำหนดให้นักศึกษาลาพักการศึกษาได้ครั้งละไม่เกิน 1 ปีการศึกษา โดยที่ต้องจ่ายค่ารักษาสถานภาพนักศึกษาตั้งแต่ราคาหลักร้อยถึงหลักพัน แต่เมื่อเทียบกับประเทศเกาหลีที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งสามารถลาพักการศึกษาได้ตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี ทำให้เด็กบางคนที่อยากไปค้นหาตัวเอง หรือจำเป็นต้องออกเนื่องจากไม่มีเงินทุนในการเรียน ก็อาจต้องแบกรับความลำบากในการอยู่ต่อหรือการกลับเข้ามาในมหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยหากเราไปดูมหาวิทยาลัยในสหรัฐ เช่น Harvard/Stanford/University of North Carolina at Chapel Hill/Tufts University ฯลฯ และในบางมหาวิทยาลัยให้เงินสนับสนุนสำหรับ “Gap year” เช่น Tufts University มีค่าใช้จ่ายสำหรับการ Gap year ให้สำหรับนักเรียนมากถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้น
จากเหตุผลที่ผู้เขียนกล่าวมาทั้งหมด ทำให้การที่เด็กไทยคนหนึ่งจะตัดสินใจ Gap year เป็นไปไม่ได้จริงสำหรับทุกคน จากงานวิจัยเกี่ยวกับการ Gap year ในสหรัฐอเมริกา โดย The American Gap Association แสดงให้เห็นว่า 61% ของคนที่ตัดสินใจ Gap year มาจากครอบครัวที่มีรายได้ครัวเรือนต่อปีสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุผล เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรม Gap year มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 8,000-16,000 ดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่า Gap year ไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมเหล่านี้ แต่โปรแกรมเหล่านี้ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ Gap year อย่างเห็นได้ชัดทั้งประสบการณ์จากการใช้ชีวิตในที่ต่างวัฒนธรรม ทักษะการติดต่อกับผู้คน หรือแม้กระทั่งความรู้และประสบการณ์บางอย่างที่หาไม่ได้ในประเทศตัวเอง นอกจากนี้หากไม่ Gap year ในต่างประเทศ ก็อาจยังต้องมีต้นทุนในการดำรงชีวิตระหว่างวันทั้งค่ากิน ค่าเดินทาง หรือค่าพัฒนาทักษะ ทำให้การ Gap year กลายเป็นสิทธิพิเศษที่หากไม่มีต้นทุนสำหรับ Gap year มากพอ ก็อาจต้องเลิกคิดที่จะ Gap year