ร้านชำสะดวก ‘สัก’ ของ Badego.bodega คอมมูนิตีที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกัน
Reading Time: 4 minutesจากคอมมูนิตี้เล็ก ๆ วันนี้ศิลปะการสักได้เดินทางไปไกลเกินกว่าที่ใครเคยคิด มันกำลังกลายเป็นภาษาหนึ่งของยุคสมัยที่พูดถึงตัวตน ความสัมพันธ์ และความฝัน
กลิ่นดินอบอวล มือและสายตาสอดประสาน แน่วแน่ จดจ่อกับชิ้นส่วนเล็กจิ๋วกว่าฝ่ามือค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปร่างของดอกไม้และถ้อยคำ แผ่วเบาราวกับชิ้นส่วนเหล่านั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างของ อาร์นู อดีตช่างทำเฟอร์นิเจอร์จากเนเธอร์แลนด์ ดินก้อนเล็ก ๆ ในมือเขาค่อย ๆ กลายเป็นใบไม้ ดอกหญ้า กระทั่งเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีชีวิต มันจึงไม่ใช่แค่งานฝีมือ แต่คือพื้นที่ที่เขาได้กลับเข้าไปภายในตนเอง
ผมชื่ออาร์นูครับ เขาเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายในบทสนทนากับเรา “แต่ก่อนผมเป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่เนเธอร์แลนด์ ผมชอบสร้างอะไรขึ้นมาจากศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นไม้หรือดิน รู้สึกดีเวลาได้ลงมือทำจริง ๆ”
นี่ไม่ใช่เพียงคำแนะนำตัว แต่เป็นประตูเปิดเข้าสู่โลกที่เขาสร้างขึ้น โลกของดิน ไม่ใช่เพียงวัสดุ หากแต่เป็นเส้นทางกลับไปหาจิตวิญญาณแห่งการปั้น ให้เป็น “ชีวิต” ของอาร์นู หนุ่มชาวดัตช์
อาร์นูเล่าว่า เขาปั้นดินมาตั้งแต่เด็ก “เวลาได้จับดิน มันเหมือนผมได้เอาจินตนาการออกมาผ่านมือ บางครั้งเริ่มโดยไม่รู้ด้วยว่าจะทำอะไร แค่ปั้นไป แล้วความคิดมันก็ค่อย ๆ ไหลออกมาเอง” เขายิ้มเมื่อเล่าถึงตัวอักษรที่เขาปั้นตอนนี้ “ผมย้ายมาไทยโดยไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย เอามาแค่เสื้อผ้า ไม่มีอะไรจากวัยเด็ก แต่เมื่อปั้นดิน มันเหมือนให้เด็กคนนั้นกลับมาอีกครั้ง” คราวนี้ไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นตัวเขา ‘มีอยู่’ — ดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ
นี่คือบทเรียนแรกของชีวิตที่ซ่อนอยู่ในงานดินของเขา ความฝันอาจสูญหาย แต่จินตนาการไม่เคยตาย ถ้าเรายอมให้มือของเราทำงานแทน ‘ความกลัว’
เมื่อถามว่า อยู่กับการปั้นได้นานแค่ไหน เขาตอบทันที “ผมสามารถอยู่กับมันได้ทั้งวัน แบบลืมเวลา ไม่กิน ไม่เข้าห้องน้ำ โฟกัสกับมันมากจริง ๆ”
เขาเล่าถึงเวิร์กช็อปที่คนมานั่งปั้นกันสี่ชั่วโมงเต็ม “ทุกคนตั้งใจมาก เพลินจนลืมเวลา ไม่คิดเรื่องอื่น อยู่กับปัจจุบันจริง ๆ” สำหรับอาร์นู ดินไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างงาน แต่เป็นเครื่องมือเยียวยา เป็นช่องทางพาคนกลับมาอยู่กับ “ปัจจุบัน” ที่เราในสังคมเร่งรีบมักสูญหายไป
เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างตอนเด็กกับตอนนี้ เขาหัวเราะ “ตอนเด็กปั้นตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีชิ้นไหนเหมือนกัน แต่ตอนนี้มีส่วนที่ต้องทำซ้ำ เช่นตัวอักษร หรือต้องพยายามปั้นออกมาให้ตรงทำตามความต้องการของคนอื่น มันเลยจริงจังขึ้น”
นี่คือบทเรียนของชีวิต เมื่อเราเติบโต ความฝันไม่ตายแต่เปลี่ยนรูป อาจต้องประนีประนอม แต่ยังแอบซ่อนจินตนาการเล็ก ๆ ของเด็กในตัวเราไว้เสมอ
ในเนเธอร์แลนด์ งานปั้นดินแบบนี้เป็นเพียงงานอดิเรก “ส่วนใหญ่จะเป็นงานเซรามิก ต้องเผาในเตา ใช้ดินอีกแบบ คนทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า” แต่ในไทยกลายเป็นอาชีพได้ “เพราะผมทำงานไม้แบบเดิมที่นี่ไม่ได้ อีกอย่างค่าจ้างแรงงานไทยต่ำกว่ายุโรป ถ้าจะผลิตขายยุโรป เขาก็อาจให้ผลิตที่นี่แล้วส่งไปขาย”
อาร์นูไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงนักเศรษฐศาสตร์ แต่ประสบการณ์เขากลายเป็นตัวอย่างของระบบเศรษฐกิจโลกที่ไหลผ่านมือคนตัวเล็ก เมื่อถามว่า “แล้วในไทย ถ้าคนมองว่าศิลปะไม่ใช่อาชีพ หรือไม่ใช่สิ่งจำเป็น คุณรู้สึกยังไง?” เขาตอบอย่างอ่อนโยน “ผมเข้าใจ หลายคนต้องทำมาหากินก่อน ต้องรอดก่อน แต่สำหรับผม ถ้าเอาความสุขออกจากชีวิต แล้วทำแค่เพื่อเงิน ชีวิตมันจะว่างเปล่าเลย”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “คำแรกที่ผมคิดถึงเลยคือ ‘ความสุข’ ถ้าผมไม่ได้ปั้นดิน ผมจะไม่มีความสุข ต่อให้มีเงิน มีเวลาว่าง ไม่ต้องทำงาน ผมก็จะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง การสร้างสรรค์ผ่านดิน คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิต ไม่ใช่แค่หายใจอยู่”
นี่คือ หัวใจของการได้ทำในสิ่งที่รัก แม้จะไม่ทำให้รวย แต่ทำให้ “มีชีวิตอยู่จริง ๆ”
ในบทสนทนาช่วงท้าย ผมถามถึงคนที่ไม่มีโอกาสเลือก อาร์นูตอบด้วยน้ำเสียงที่เข้าใจโลก “ผมก็เคยอยู่ตรงนั้น ผมเป็นช่างไม้มา 16 ปี ทั้งที่มันไม่ใช่ความหลงใหลของผมเลย ผมทำได้ดีนะ แล้วก็ภูมิใจในสิ่งที่ทำ แต่ไม่ได้รักมัน มันคือ ‘สิ่งที่ทำได้’ ไม่ใช่ ‘สิ่งที่รัก’”
เขาบอกว่าที่ได้มาทำสิ่งที่รักจริง ๆ ก็เพราะอยู่ในบริบทที่มัน “เป็นไปได้” ในไทย และยอมรับว่าค่าครองชีพ ค่าแรง ระบบประกัน ภาษี ต่างกันเยอะ คนยุโรปบางคนมีเงินพอทำงานอดิเรกได้ แต่ไม่กล้าทำเป็นอาชีพ เพราะต้นทุนชีวิตมันสูง “ไม่ใช่แค่เรื่องความฝัน แต่เป็นเรื่องความอยู่รอดจริง ๆ”
ถามว่าคนที่ “ไม่มีทางได้แตะความฝัน” ควรมองยังไง เขาตอบอย่างจริงใจ “บางครั้งเราต้อง ‘ลดระดับความฝันให้ใกล้ตัวขึ้น’ ก่อน เช่น ถ้ารักการสร้าง แต่ทำงานศิลป์ไม่ได้ ก็อาจไปทำงานที่เกี่ยวกับช่าง ของทำมือ หรืออะไรที่อยู่ในบริบทเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องตรงตัวเป๊ะ” การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่เป็นการประนีประนอมโดยไม่ทรยศหัวใจตัวเอง หาเส้นทางเล็ก ๆ ที่ยังคงความสุขไว้ได้
“ทุกอย่างที่คุณทำกับดิน นอกจากเรื่องจิตวิญญาณแล้ว มันคืออะไรในชีวิตคุณ?” ผมถามตรง ๆ แต่อาร์นูไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขายินดีที่จะอธิบายความหมายที่ซ่อนอยู่นั่นคือ ความสุข
ถ้าวันหนึ่งผมต้องหยุดปั้น ผมจะไม่มีความสุขเลย ไม่เกี่ยวกับเงินด้วยซ้ำ สมมติว่าผมรวยแล้วไม่ต้องทำงานอะไรเลย ผมก็จะยังอยากปั้นอยู่ดี เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่า ‘ผมมีชีวิตอยู่จริง’”
บทสนทนาทั้งหมดไม่ใช่เพียงเรื่องของดินกับชายคนหนึ่ง หากแต่เป็นกระจกสะท้อนชีวิตของผู้คนมากมายในโลกนี้ คนที่ต้องทำงานเพื่ออยู่รอด คนที่ต้องประนีประนอมกับระบบเศรษฐกิจ คนที่พยายามรักษา “เด็กคนนั้นในตัวเอง” ไว้ให้ไม่ร่วงหล่นไปในระหว่างทางของความเร่งรีบในระบบทุนนิยม
ดินในมืออาร์นูจึงไม่ใช่เพียงก้อนดิน มันคือการตระหนักถึงความหมายของชีวิต ว่าการต่อสู้ การยอมรับ การลดระดับความฝัน หรือการประนีประนอม ไม่ได้ทำให้เราสูญเสียตัวตนเสมอไป หากเรายังรักษา “พื้นที่เล็ก ๆ ของความสุข” เอาไว้ได้ และนี่คือสิ่งที่เขาส่งต่อให้ผู้อื่นผ่านงานศิลปะ และเรื่องเล่าของเขา ว่าในโลกที่บีบคั้นให้เราทำเพียงสิ่งที่ “หาเงินได้” เราก็ยังสามารถปั้นบางสิ่งให้เป็น “ชีวิต” ได้ด้วยมือของเราเอง