เพราะ ‘ความหวัง’ ไม่ใช่ของใครคนใด ในประเทศที่ยังเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เสร็จสิ้น – Decode

เพราะ ‘ความหวัง’ ไม่ใช่ของใครคนใด ในประเทศที่ยังเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เสร็จสิ้น

InterviewsYoung Spirit
Reading Time: 4 minutes

ประเทศที่ยังเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เสร็จสิ้น

แต่เป็นประเทศนี้เองที่ตลอดประวัติศาสตร์ ยังมีผู้คนหยิบกระดาษสักแผ่น ปากกาสักด้ามลงมือเขียนความหวัง

สบตากับ “อานนท์” และความอยุติธรรมทั้งปวง หนึ่งในดอกผลจากการเขียนความหวัง ณ ลำปาง สำหรับเราแล้ว นี่คือความหวังแรกที่ได้พบกันในรอบ 10 ปีที่ได้เจอภูมิอีกครั้งในฐานะผู้อุทิศตนเพื่อการเปลี่ยนแปลง “แม้จะเปลี่ยนอะไรได้ยากก็ตามที” แหย่ให้ขมขื่นยังไงเขาก็ยังยิ้มกว้าง  

ไม่ว่าผู้อ่านจะรู้จัก “สะอาด” หรือ ภูมิ – ธนิสร์ วีระศักดิ์วงศ์ นักเขียนการ์ตูนผู้ใช้ความเป็นมนุษย์ขับเคลื่อนสังคม จากครอบครัวเจ๋งเป้ง แก๊กสะอาด หรือบทกวีชั่วชีวิต จนถึง “2475 นักเขียนผีแห่งสยาม” ที่เขาลงมือเขียนต้นฉบับในวันการจับกุม คุมขังนักโทษทางการเมืองยังดำเนินต่อไปภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผุพัง เรื้อรังสะท้อนผ่านอาการป่วยไข้ทางสังคมทั้งบกพร่องทางประชาธิปไตย หลุดร่วงจากคุณภาพชีวิตที่ดี และสิทธิเสรีภาพที่ตกอยู่ภายใต้ความมั่นคงของรัฐ 

ความโดดเดี่ยวเริ่มกัดกินชีวิต เหมือนคนอกหักเพราะรัฐและสังคมที่ไม่เป็นดั่งหวัง หนำซ้ำยังโบยตีตัวเองด้วยคำพูด มองไม่เห็นทางออก เพราะงั้นเราก็ทำได้เท่านี้แหละ นอกจากไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว ยังแผดเผาตัวเขาเองไปเรื่อย ๆ

“ถ้าเราฟอร์มตัวเองไปแบบนี้ มันจะกินพลังตัวเองไปขนาดไหน” สะอาด เริ่มตั้งคำถาม ก่อนจะพาตัวเองกระโจนเข้าไปในหลุมดำอย่างเต็มใจ โดยไม่รู้หรอกว่า Long Journey นี้จะพาสะอาดไปสู่หนไหน แต่ที่รู้คือเขายินยอมที่จะใช้สายตาใหม่ในการมองโลกที่ไม่เหมือนเดิม โดยที่ไม่ต้องกลับไปดีลกับความรู้สึกผิดหวังกับตัวเองซ้ำ ๆ 

สบตากับความอยุติธรรมทั้งปวง

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2557 เป็นช่วงที่สังคมสิ้นหวัง จนหลายคนหนีไปต่างประเทศ (กลั้วขำ) เอ็นจีโอหลายคนก็ท้อและมันเป็นความรู้สึกที่ว่า มันไม่ใช่แค่รัฐที่มองไม่เห็นความสำคัญในเรื่องพื้นฐานอย่างเรื่องสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน แต่เพราะสังคมเองที่มองไม่เห็นความสำคัญของสิ่งนี้ ทำให้สะอาดขับเคลื่อนงานด้วยความโกรธและความสิ้นหวังอย่างมาก  

“ทำไมมึง ไม่เข้าใจเลยวะ ว่าสิ่งนี้สำคัญ

ทำไมสังคมถึงยอมรับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ทำไมมีแต่คนออกมาแก้ต่างแทนรัฐบาลที่ปิดสื่อ

หลายคนเหล่านั้นก็เป็นคนที่ใกล้ชิดผมด้วยนะ” เขาพูด

“มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะ” เขารอให้ถาม เพื่ออธิบายถึงความรู้สึกในตอนนั้นมันคงเป็นความโดดเดี่ยวที่ต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักรู้ว่ามันสำคัญและจำเป็นต้องพูด อาจเพราะมันเป็นวิธีคิดของสื่อสารมวลชนที่ผมเรียนมา อ๋อ สิ่งที่สำคัญคือต้อง Rest ประเด็นนี้ขึ้นมา มันจะฮิตหรือไม่ฮิต แต่มันจำเป็นต้องพูด ผมก็ใช้ตรรกะนี้ในการทำงาน แต่พอเราเริ่มขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้ไปสักพักมันจะเริ่มเผาตัวเองไปกับความคิดเหล่านั้น ผมเริ่มรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างเลวร้าย และสิ่งที่เราทำได้ก็อาจจะเป็นแค่… (นิ่งคิด) การสาปแช่งบ้าง การย้ายประเทศบ้าง หรือแม้แต่คำพูดที่ว่า มันเปลี่ยนเหี้_อะไรไม่ได้หรอก

“ถ้าเราฟอร์มตัวเองไปแบบนี้ มันจะกินพลังตัวเองไปขนาดไหน” เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง

ไม่ใช่ความหวังของเราแต่เพียงผู้เดียว

ไม่ว่าใครก็ตามที่เล่าถึงความหวังบางอย่าง เราจำเป็นต้องสบตากับความอยุติธรรมทั้งปวง แต่จะทำอย่างไรให้มีความหวังแล้วส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปสู่คนอ่านรับรู้ว่ายังมีแง่มุมบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แม้จะยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ตาม เพื่อหล่อเลี้ยงทั้งตัวเอง ผู้อ่าน และสังคมไปด้วยกัน “ถ้าเรามองด้วยสายตาที่เปิดกว้างก็จะมีแง่มุมบางอย่างที่มีประกายของความหวังเสมอ” ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไป สุดท้ายสังคมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ มันอาจจะช้ามาก จนเราไม่ทันได้สังเกตก็ได้ แต่เรายังจะสามารถรักษาเรี่ยวแรงและพลังในการทำงานนี้ต่อไป นั่นจึงเป็นที่มาของงานสะอาดในระยะหลัง

“จะเล่าเหี้_ ห่_ สารพัดอะไรก็ตาม ตอนจบของเรื่องจะตวัดให้กราฟนั้นมีแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ดุจเปลวเทียนที่ยังส่องสว่าง ให้ความรู้สึกที่ยังเฮลตี้ต่อตัวเราและผู้อื่น ซึ่งเป็นทิศทางที่ผมเองได้เลือกแล้ว” เขาตอบด้วยความมั่นใจ  

ผลงาน “2475 นักเขียนผีแห่งสยาม” ก็เป็นเช่นนั้น เขาก้าวข้ามความสิ้นหวังและขนบแบบเดิมด้วยการพาผู้อ่านไปสัมผัสกับความหวังของประเทศนี้ ซึ่งเนื้อแท้กำลังสะท้อนการต่อสู้ของผู้หญิงธรรมดาสามัญในสังคม ตัวละครอย่าง นิภา เสมือนเป็นตัวแทนของใครหลายคนที่กำลังต่อสู้กับระบบและความไม่เป็นธรรมอยู่ในตอนนี้ แม้จะยับเยินเพราะข้อจำกัดมากมาย ที่สุดแล้วความหวังเป็นสิ่งที่ต้องประคองไว้ด้วยสองมือ

ผมเลิกคิดว่า มันจะเปลี่ยนเพราะผม เปลี่ยนวิธีคิดเป็นมันจะเปลี่ยน เพราะคนอีกจำนวนมากมาสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ (นิ่ง) ผมสังคมนิยมมากขึ้น (หัวเราะ) ทำให้ความรู้ที่เรามีนั้นถูกแชร์กับคนอื่นได้ และการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เราแชร์ร่วมกัน เราไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงลำพัง เช่นเดียวกับความเหี้_ที่เราไม่ได้เผชิญอยู่ลำพัง

แล้วความบกพร่องใด ๆก็ตามก็ไม่ได้แก้ด้วยตัวคนเดียว เพราะสุดท้ายงานสื่อสารไม่ใช่งานที่เปลี่ยนแปลงในตัวมันเองอยู่แล้ว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนจำนวนมาก แน่นอนว่ามันให้ผมรู้สึกผิดน้อยลงในเวลาที่ทำอะไรไม่ได้มากนัก (ยิ้มอ่อน)

“มันจึงไม่ใช่ความหวังของเราเพียงคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นความหวังที่สร้างร่วมกันได้ไหม”

ไม่ใช่แค่ประโยคคำถาม หากคือคำพยานที่หนักแน่นขึ้นในเจตจำนงทางสังคมร่วมกัน

“มันกลายเป็น Executionที่ผมบอกพี่หนิงว่า การเขียนความหวังไม่ใช่ผมเขียนเพียงคนเดียว แต่เป็นความหวังที่สังคมเขียนร่วมกัน หรือออกแบบร่วมกัน ตอนนี้เราอาจจะมองไม่เห็น หรือยังรู้สึกแย่กับอะไรสักอย่าง สุดท้ายความหวังยังสำคัญกับสังคมไทยในระยะยาวนั่นคือเบื้องหลังทางความคิดของนิทรรศการเขียนความหวังของผม”

Decode: เราอาจไม่ใช่เจ้าของความหวังแต่เพียงผู้เดียวและวันนี้ความหวังถูกเขียนต่อไปโดยใครก็ได้ ภูมิพบเจออะไรตลอดเส้นทางนี้

สะอาด: ผมว่าหลัก ๆมันคือเวลาเราเจอสิ่งที่เลวร้ายในสังคม พอเราทำงานในพื้นที่นี้จุดนึงยังมีคนอีกจำนวนมากที่อยากจะเปลี่ยนแปลง รูปธรรมคือมีคนอ่าน 2475 มันมีคนอ่านประเภทที่ทำงานในราชการแล้วอินมากกับตัวละครนิภาซึ่งมีข้อจำกัดอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ในขณะที่เขาเองก็อยากเปลี่ยนแปลงระบบราชการหรือระบบการศึกษาอะไรก็ตามอย่างมาก แต่มีข้อจำกัดเต็มไปหมดโดยไม่ทิ้งความฝันที่อยากเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้อยู่ขณะเดียวกันเขาต้องอยู่ในระบบนี้ต่อไปให้ได้ เพราะต้องหาเลี้ยงชีพ แต่ก็ยังไม่ทิ้งความฝันนี้ไปซะทีเดียว

หรือบางคนก็ทำงานในรัฐบาลก็ซื้อหนังสือ 2475 ไปอ่าน บอกว่าชอบผลงานของสะอาดมาก ๆ ราวกับว่าเขารู้สึกผิดกับอะไรบางอย่าง แต่เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคม เพียงแต่เขาทำงานให้ฝ่ายรัฐบาล เขาอยากให้ผมเขียนโน๊ตให้กำลังใจเขาหน่อย (หัวเราะ)  

“เออ มันยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ว่ะ ในแง่ความเป็นจริงของชีวิต”

ชีวิตมนุษย์ที่ไม่สามารถฟอลโลว์อุดมการณ์ได้ 100% มันต้องมีบาลานซ์อยู่แล้ว ฉันพยักหน้าตอบ

“เวลาที่ผมทำงานอะไรแบบนี้ออกมาทำให้ผมมองเห็นแง่มุมที่ผมไม่อาจมองเห็นได้ ถ้าไม่เอาตัวเองกระโจนเข้าทำงานกับคนหลาย ๆ กลุ่ม ก็จะไม่มีโอกาสมองเห็นแง่มุมอื่น ๆ”

“น่าสนใจค่ะว่า งานของภูมิไม่ได้สนใจแค่กลุ่มคนที่เห็นด้วยหรือมีอุดมการณ์เหมือนกับเรา ตรงกันข้ามคือทำงานกับความคิดทางสังคมหรือแม้คนที่ทำงานในรัฐซึ่งมักจะเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนอยู่ร่ำไป พี่คิดต่อไปว่าตัวละครอย่างนิภา ซึ่งมีบทบาทของความเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง จาก 2475 ถึง 2568 ภูมิได้เห็นตัวละครคล้าย ๆกันนี้ปรากฏขึ้นในพ.ศ.นี้บ้างไหม” ฉันสงสัย

สะอาด นิ่งคิดและเชื่อว่า จริง ๆแล้วมันเป็นเสียงแห่งยุคสมัยเรา “มันมีวอยซ์ที่มีความเป็นเฟมินิสต์ที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม และผมคิดว่ามันอาจจะใหม่ในประวัติศาสตร์ไทย”

เขายกตัวอย่าง วงดนตรีที่ได้รับความนิยมในทุกวันนี้ เสียงร้องแทบไม่หลงเหลือเสียงร้องของความเป็นชายแท้อีกแล้ว จะมีความเป็นยูนิเซ็กต์อยู่ในเนื้อเสียงและการสื่อความหมายทางสังคม ว่าความคลั่งสงคราม หรืออยากเอาชนะซึ่งเบ่งบานในโลกที่กำลังเอียงขวามากขึ้นเรื่อย ๆในขณะนี้ อย่างในอเมริกาในเวลานี้ ในไทยเชิงวัฒนธรรมสิ่งนี้ลดความสำคัญลงไปอย่างมาก

ต่อให้มหาอำนาจที่ครองพื้นที่ในการจัดระเบียบโลกอยู่ในตอนนี้จะมีความเป็นชายที่เข้ามามีอิทธิพลในทางการเมืองแต่ในทางวัฒนธรรม เสียงของความเป็นผู้หญิง หรือเสียงของการลดความเป็นชายแท้ล้วนได้รับชัยชนะในทางวัฒนธรรม เพราะสังคมโอบรับสิ่งเหล่านี้และยากที่จะกลับไปเป็นแบบเดิม

“ในกระแสหลักของโลกได้ข้ามพ้นเรื่องนี้ไปค่อนข้างมากแล้ว ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรมันจะค่อย ๆ งอกงามในภายหลัง เช่น สมรสเท่าเทียมที่ทุกพรรคการเมืองก็ต่างเห็นพ้องต้องกัน แม้ในทางปฏิบัติจะค่อย ๆตามมา เพราะวัฒนธรรมมันได้ข้ามพ้นไปแล้ว หรืออย่างในวงการการ์ตูน ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมันก็มีแก๊กจำนวนมากที่บ้าผู้หญิงอกอึ๋ม ๆ ติดแซว ดูถูกตัวละครเมียจะต้องปวดหัว ต้องรับทเป็นเหยื่อ และจะมีผู้หญิงอีกคนที่รูปร่างเซ็กซี่มาก ๆที่ผู้ชายจะมอง แก๊กเหล่านั้นมันเคยเป็น “กระแสหลักในสังคมไทย” สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันที่สังคมจะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ปัจจุบันมันคือการ์ตูนวาย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก สังคมไทยค่อย ๆ เปิดกว้างต่อเรื่องเพศมากขึ้น และทำให้บทบาทผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เคยถูกจำกัดก็ไม่ได้เป็นแบบเดิมอีกต่อไป”

ไม่ว่างานเขียน หรือหนังสือสักเล่มนั้นจะถูกเขียนอย่างลุ่มลึก  สะอาดหมดจด หรือเปิดกว้างเพียงใด หากไม่ถูกอ่านก็ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิงราวกับไม่เคยมีตัวตนถูกเขียนขึ้นมาในโลกเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นงานของสะอาดที่ทรงพลังก็เพราะถูกอ่านซ้ำและอ่านอย่างกว้างขวาง ที่สำคัญคือมีพื้นที่ทางความคิดให้กับผู้อ่านได้เขียนแก่นสารที่หนักแน่น และคิดอย่างแจ่มกระจ่าง จนกลายมาเป็นความหวังของคนทุกคน

นิภา – ฐปณีย์ – กรุณา เสียงแห่งยุคสมัยกับสปิริตคนทำสื่อที่เปลี่ยนไป

เมื่อสังคมโอบรับความแตกต่างมากขึ้น ในแง่ของปัจเจกคุณจะมีเรี่ยวแรงไปทำอย่างอื่นเพื่อผู้อื่นได้อีกมาก โดยไม่จำกัดตัวเองอยู่ขอบเขตเดิม ๆ ขนบเดิม ๆ เขาไม่ต้องกลับไปดีลกับความรู้สึกโกรธแค้น หรือหมองเศร้า หรือผิดหวังกับตัวเองอีกต่อไป

อืมมมมม ลากเสียงยาว “แล้วคนอ่านจะอยู่ตรงไหนของประวัติศาสตร์ ในพ.ศ.นี้” ฉันถาม  

เออ ผมคิดว่ายุค 2475 มันแย่กว่านี้เยอะ สะอาดคิด

เพียงแค่เขาเขียนตัวละครนิภาที่ใส่ชุดปกติเดรสออกจากบ้านก็เป็นเรื่องแปลกมากในพ.ศ.นั้นแล้ว

“เพราะชุดเดรสมันแพงในยุคนั้น” เขากลั้วขำในลำคอ เล่าต่อไปว่า ยิ่งผู้หญิงออกนอกบ้านในยุคนั้นเป็นเรื่องไม่ปกติเป็นเรื่องอันตราย เขาก็จะมีความคาดหวังว่า เป็นผู้หญิงต้องอยู่เฝ้าเรือน พื้นที่นอกบ้านเป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับผู้ชายที่จะมาสังสรรค์กัน หรือถ้าจะออกจากบ้านก็ต้องมากับผู้ชาย ผู้หญิงจึงถูกมองเป็นทรัพย์สมบัติของผู้ชาย กระทั่งการมีวัฒนธรรมผัวเดียว หลายเมียก็ยังมีดำรงอยู่ในยุคสมัยนั้น

กระทั่งยุคสมัยปัจจุบันยังหลงเหลือเศษซากเหล่านั้นในสังคมไทย จึงยังมีคนที่ต้องออกมาต่อสู้อยู่ แต่ผมคิดว่านักข่าวแบบนิภามีเยอะขึ้นมาก เขาคิดว่า เผลอ ๆ นักข่าวแบบนิภาในพ.ศ.นี้อาจจะมากกว่านักข่าวผู้ชายในสมัยนิภา  “ผมไม่เจอฐาปนีในฟากผู้ชาย”

“เออ ก็อาจจะใช่”

“ส่วนที่บู้กระจุยกระจาย ผมก็ไม่เจอคุณกรุณาในฟากผู้ชายด้วยเหมือนกัน” เขาพูด

นิภา – ฐปณีย์ – กรุณา อาจเป็นนักข่าวหญิงที่มีน้ำเสียงของความเป็นชายอยู่ในวิธีการทำงานและเรื่องเล่าของสะอาด และอาจจะเป็นเหตุผลรองรับว่า อาจจะได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น

“นิภาในยุคนี้มากขึ้นแน่ ๆ แต่จะนำไปสู่ความเท่าเทียมไหม ยังคงต้องสู้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าเส้นทางนี้จะถูกถ่างให้กว้างขึ้นสำหรับคนทุกคนอย่างเท่าเทียม”

แม้อํานาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ประโยคคลาสสิกที่ฝังจำมาจนถึงคนรุ่นหลัง 14 ตุลาฯ ในยุคนั้นบทบัญญัติเรื่องความเสมอภาคของหญิงกับชายในทางการเมืองขึ้นเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2517 และในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ก็ได้เพิ่มบทบัญญัติให้องค์กรรัฐทุกองค์กรต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของชนชาวไทย นับเป็นการจำกัดอำนาจขององค์กรรัฐไม่ให้กระทบสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยขึ้นเป็นครั้งแรก แต่กลับเลือนหายไปจากรัฐธรรมนูญ 2560 (ฉบับปัจจุบัน)

เราถามต่อไปว่า “นึกถึงฉากจบของหนังสือ 2475 ก็เป็นอีกแบบนึง ถ้าเป็น พ.ศ. 2568 ภูมิจะเลือกให้ฉากจบของนิภาอวสานในแบบไหน”

สะอาดหยุดขำ “ความเดิมตอนที่แล้วในฉากสุดท้ายที่บางปู หลังจากนิภาออกจากคุก ถ้ามันเป็นพ.ศ.นี้นิภาจะเดินทางต่อยังไง” ฉันขยายความ

“นิภาก็คงไปอยู่ฝรั่งเศส ลี้ภัย…(หยุดคิด) จริง ๆ เป็นไดอาล็อกที่ผมคุยกับทีมว่า ตอนจบนิภาจะอยู่ในคุกหรืออยู่ต่างประเทศ เป็นสิ่งที่เราถกเถียงกันในทีม น้องที่เขียนบทอยากให้ไปอยู่ต่างประเทศ อยากให้ตัวละครตัวนี้มีความสุขที่สุดในชีวิตเขาเหนื่อยมามากแล้ว ส่วนผมเป็นคนยืนว่า นิภาไม่มีทางรอดคุกไปได้ เป็นไปไม่ได้ถ้านิภาไม่ติดคุก นิภาก็คงเปลี่ยนจุดยืน หรือว่าเรากำลังหลอกตัวเองกันแน่ เพราะในประวัติศาสตร์ผู้คนในยุคสมัยนั้น ถ้ามีอุดมการณ์โดนจับหมดไม่มีทางรอด

แต่นักหนังสือพิมพ์ในพ.ศ. 2568 เซนส์ในการเป็นสื่อสารมวลชนมันต่างกันมาก นักหนังสือพิมพ์ในยุค 2475 เขาเป็น Opinion Leader เป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่ไร้เสียง หรือคนที่พูด คิดหรือเขียนไม่ได้ ดังนั้นคนที่เป็นนักเขียน นักคิดมีความรู้สึกว่าตัวกูเป็นตัวแทนทางความคิดของคนสังคมหรือเป็นปากกาของสังคม”

เขาให้น้ำหนักกับเหตุผลอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือวิธีคิดในการมองชีวิตในยุคสมัยอดีตกับปัจจุบันมันแตกต่างกันอย่างนึงคือ “ความรักชีวิต” ในปัจจุบันมันมากกว่าสมัยก่อน อันนี้ผมคิดของผมเองนะ

ยุคก่อนคนที่ออกไปตายเพื่อชาติมันอาจจะเกิดขึ้นง่ายกว่าคนในยุคปัจจุบันมาก หรือว่าความล้มเหลวในทางธุรกิจ ธุรกิจเจ๊งมันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ายุคปัจจุบันมหาศาล หนังสือพิมพ์ที่พร้อมจะเปิดและปิดได้โดยง่าย การที่คนทำงานสื่อสารมวลชนคนนึงคิดว่าจะเขียนงานที่สำคัญมากชิ้นนึงแล้วจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ทุกวันนี้ผมเขียนการ์ตูนถ้าแรงเกินไปผมก็จะโดนเซนเซอร์ ท้ายที่สุดสปิริตเดิมของสื่อไม่มีทางที่เราจะเป็นสื่อที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อสังคมได้อีกแล้วเพราะธรรมชาติของสื่อสารมวลชนมันถูก Shift ไปแล้วจากสื่อปัจจุบันที่ผูกโยงกับโซเชียลมีเดีย และอินฟลูเอนเซอร์บางคนก็อาจจะมีอิทธิพลมากกว่าสื่อสารมวลชน หรือบางทีต่อให้คุณนำเสนอประเด็นแรง ๆออกไปก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าจะมีคนอ่านหรือมีกระแสตอบรับที่ดีก็ได้ เพราะงั้นคนทำงานสื่อสารมวลชนต้องหาที่ทางใหม่ ๆ ว่าเราจะบอกเล่าประเด็นทางสังคมอย่างไรให้มีความหมาย อย่างผมก็อาจจะรู้สึกว่า ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงสังคม การเขียนก็อาจเป็นอีกพาร์ทนึง เพราะเราอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงโดยใช้งานเขียนไปเชื่อมกับงานรูปแบบอื่น ๆ ด้วย

“จากแรงขับจากความโดดเดี่ยวมาสู่แรงขับด้วยความหวัง แล้ววันนี้ใช้แรงขับอะไรอยู่”

“ผมมองการทำงานกับทีมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนต้นฉบับหนึ่งหน้าผมอาจจะทุ่มด้วยตัวเองคนเดียว มาวันนี้ผมได้ทำงานเป็นทีม พอหนังสือออกมาผมก็คิดกับมันเยอะว่า หนังสือหนึ่งเล่มแล้วผมพอใจกับมันแล้วไปเขียนงานต่อไปมันก็เป็นแค่โปรดักซ์อย่างนึง แต่เมื่อเราทำให้หนังสือแล้วเชื่อมต่อกับคนที่ทำงานด้านอื่น ๆให้เขาสามารถทำงานในพื้นที่ของเขาได้ นิทรรศการเขียนความหวังก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำให้เราพบว่า เบสิกเลยก็คือเราไม่รู้ว่า คนอ่านรู้สึกอย่างไร พอมีนิทรรศการฯ เกิดขึ้นคนอ่านเหล่านั้นมารวมตัวกัน เพื่อพูดถึงหนังสือเล่มนี้มันก็กลายเป็นการสร้างไดนามิกใหม่ ๆไปด้วย เพราะความคิดที่มีต่อหนังสือได้ถูกขบคิด พูดคุย และถกเถียงกันมากขึ้น และอาจจะมีการสร้างพื้นที่ใหม่มากกว่าการเขียนการ์ตูนไปสู่ผู้อ่านเท่านั้น”

อย่างน้อยในบทสนทนานี้เราก็เห็นพ้องถึงพลังอันร้ายกาจของประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าและความใฝ่ฝันของ “2475 นักเขียนผีแห่งสยาม” กำลังจุดคบเพลิงแห่งอำนาจของสามัญชนเพื่อจินตนาการถึงสังคมที่ดีกว่านี้ ด้วยความหวังที่ยังดาวน์โหลดไม่สำเร็จในทันที

“สุดท้ายแล้วเรียนรู้อะไรบ้าง จากสิ่งที่ค้นพบจากการเดินทาง” ฉันถาม เขาหันมาตอบว่า อย่างนึงที่เห็นคือศักยภาพของการ์ตูนที่ครั้งนึงมันเคยเป็นความไร้สาระมาก ๆ เขาคิดว่าสิ่งนี้มีพลังอย่างมากในการทำงาน ผมลงแรงกับมันอย่างมากและทดท้อต่อชีวิตมากเวลาอยู่ตรงหน้ากระดาษ แต่พองานออกมาแล้วมันสร้างอิมแพคต่อคนอ่านมันอาจไม่ใช่เรื่องของจำนวน และเป็นความรู้สึกนึกคิดของผู้อ่านที่เราสัมผัสได้ แต่เป็นการลงแรงที่คุ้มค่ามาก”

การ์ตูนช่องที่คนเคยดูแคลน แท้จริงแล้วมีพลังในการเล่าเรื่องอย่างร้ายกาจ และสะอาดได้พิสูจน์เส้นทางนี้มาหลายปี และกอบกำเป็นความเชื่อมั่นโดยปราศจากคำตอบสำเร็จรูป

“พูดง่าย ๆ ว่าเป็นความหวังต่อตัวผมเอง คนที่ทำงานสื่อสารหรือศิลปะมาเยอะๆ มันลงแรงกับมันมากๆ เรามักจะเผชิญกับภาวะ self-down กับตัวเองมาเรื่อย ๆ พอผมมีความหวังมีความเชื่อมั่น แม้จะยังไม่หาย self-down แต่ก็จะสามารถเผชิญหน้ากับมันได้ดีขึ้นและมีแรงที่ทำมันต่อไป ส่วนเรื่องที่มีต่อผู้อื่นนั้น ผมเคยมองว่าตัวเองโดดเดี่ยว การมองทุกอย่างเป็นทีมมากขึ้นมันเป็นประชาธิปไตยมากกว่าและสอดคล้องกับการขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนแปลง”

ที่สำคัญคือ ความหวังถูกแชร์และต่อยอด เสริมแรงกัน ความเชื่อมั่นนี้สำคัญมากต่อนักเล่าเรื่องทางสังคม เพราะในความเป็นจริงงานเล่าเรื่องอาจไม่สามารถเปลี่ยนคน หรือเปลี่ยนสังคมได้ทันทีที่ถูกอ่าน บางทีมันอาจจะเปลี่ยนความคิดใครคนใดคนหนึ่งก่อนแล้วค่อยขยับไปสู่ความคิดของใครอีกหลายคน และใครหลาย ๆ เหล่านั้นก็ลงมือทำอะไรสักอย่าง แล้วจึงเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างในภาพใหญ่ ซึ่งเขาเรียนรู้แล้วว่า การฟอร์มตัวเองขึ้นมาแล้วเชื่อมต่อกับใครอีกหลาย ๆคนคือพลังอันร้ายกาจอย่างหนึ่งของเรื่องเล่า “ผมคิดว่าการรักษาความเชื่อมั่น ต่อให้คุณทำงานมันจะเจ๊งบ้าง สำเร็จบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ตราบใดยังยืนระยะต่อไป สุดท้ายถ้าจะหวังการเปลี่ยนแปลง เราก็จำเป็นต้องลงมือทำร่วมกัน”

10 ธันวาคม 2475 อาจเป็นประวัติศาสตร์ที่ยังไม่จบสิ้น ทั้งยังเป็นมรดกตกทอดในทางความคิด โครงสร้างสถาบันทางการเมือง รูปแบบรัฐ ระบอบการปกครอง แม้ประชาธิปไตยที่ย่ำเดินไปข้างหน้าสองก้าวถอยหลังอีกสิบก้าวตลอดเส้นทางมาราธอนอันยาวไกล ประชาชนยังหวังว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้กลางทาง หรือเป็นแค่สัญลักษณ์โดยชอบและองค์ประกอบของวันรำลึกถึงกฎหมายสูงสุดของทุกปี  

ขอบคุณภาพ โดยสะอาด