ศีลธรรมแบบเลือกจำ : ว่าด้วยการลืมอย่างสะดวกของฝ่ายอนุรักษนิยม
Reading Time: < 1 minuteการลืมอย่างสะดวกของฝ่ายอนุรักษนิยม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง แต่แทรกซึมอยู่ในกระบวนการทำงานของระบบราชการ และการเมืองในทุกระดับ
Reading Time: < 1 minuteการลืมอย่างสะดวกของฝ่ายอนุรักษนิยม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง แต่แทรกซึมอยู่ในกระบวนการทำงานของระบบราชการ และการเมืองในทุกระดับ
Reading Time: 2 minutesการปะทะกันระหว่างโลกสองใบนี้ที่นับวันช่องว่างจะถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และยากที่จะหาจุดบรรจบ โดยช่องว่างดังกล่าวไม่ใช่เพียงช่องว่างของอำนาจและทรัพย์สินที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่ยังหมายรวมถึงช่องว่างของการรับรู้และความเข้าใจ
Reading Time: 3 minutesการรวมศูนย์อำนาจของระบบสาธารณสุขที่เป็นระเบียบแบบแผนการทำงานควบคุมโครงสร้างของรัฐ โดยใช้ระบบ Unity of Command กำลังเผชิญวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
Reading Time: 2 minutesประกันสังคม ม.40 ถือเป็น "ประกัน" ที่เข้าถึงได้ที่สุดในประเทศไทย ด้วยอัตราเบี้ยเริ่มต้นเพียง 70 บาทต่อเดือน รับสมัครตั้งแต่อายุ 15-65 ปี และที่สำคัญคือคุ้มครองทุกโรคประจำตัว หากมองเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ได้รับเทียบกับเบี้ยที่จ่าย ถือว่าคุ้มค่ามากกว่าประกันเอกชนหลายตัว
Reading Time: 3 minutesแม้แต่ข้าราชการที่สังคมเห็นประจักษ์ชัดว่า ไม่ได้ทำเฉพาะงานประจำ หากแต่ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ยังถูกสอบสวนด้วยกระบวนการที่ไม่เป็นธรรมและให้ออกจากราชการได้ง่าย ๆ
Reading Time: 3 minutesบันทึกประวัติศาสตร์ของการชนะคดีสิ่งแวดล้อม แต่เป็นผู้แพ้ในการฟื้นฟูบ้านเกิด นี่จึงไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการต่อสู้ หากมลพิษยังอยู่และยังไม่ฟื้นฟู บำบัดมลพิษออกจากพื้นที่ก็ยังไม่เป็นชัยชนะที่สมบูรณ์
Reading Time: 4 minutesเมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่อาจเข็นวีลแชร์ขึ้นบัลลังก์ เรื่องราวจาก 'ทนายเคน' ที่ยืนยันว่าไม่ว่าใครก็ทำงานได้ และความพิกลพิการของระบบยุติธรรมที่ส่งผลเสียต่อสังคมมากกว่าร่างกายที่ไม่สมบูรณ์
Reading Time: 4 minutesเพราะเด็กวัย 0–6 ปี คือวัยทองของการเรียนรู้ และพัฒนาการ แต่พ่อและแม่ยังสามารถลาเพื่อดูแลลูกได้แค่ 90 วัน ในขณะที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กของรัฐรับเด็กเข้ามาดูแลอายุไม่ต่ำกว่า 2 ปี แล้วช่องว่างของวัยทองอนาคตของชาตินี้ ใครดูแล?
Reading Time: 3 minutesชาวบ้าน ชาวช่อง รศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา ผมขออนุญาตเริ่มต้นด้วยการชวนให้คิดถึงเรื่องสามเรื่อง เรื่องแรก คือเสียงบ่นของคนกรุงที่เดินทางด้วยรถเมล์ เรื่องสอง คือ อุบัติเหตุของคนขับขี่รถจักรยานยนต์ และเรื่องสามคือ ภาพจำว่า เมืองที่เจริญคือเมืองที่มีรถไฟฟ้า สามเรื่องข้างต้น บางคนอาจคิดว่า พอจะเกี่ยวข้องกันบ้างเพราะเกี่ยวกับการเดินทางเหมือนกัน แต่ผมขอชี้ชัด ๆ ว่า หากเรามองทั้งสามเรื่องนี้ ด้วยแนวคิด ความเป็นธรรมด้านการเดินทาง (transport justice) ก็จะพบว่า สามเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เพราะบ่งชี้ถึงว่า เราจะมีเมืองที่มีการเดินทางที่เป็นธรรมได้อย่างไร ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ เมืองที่เป็นธรรม (just cities) มาแล้วอย่างน้อยสองตอน[i] ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเด็นความเป็นธรรม เป็นประเด็นที่ถูกให้ความสำคัญมากขึ้นในการถกเถียงเรื่องเมืองปัจจุบัน ส่งผลให้การวางแผนนโยบายเกี่ยวกับการเดินทางหันมาให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมด้านการเดินทาง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เมืองมีความเป็นธรรมมากขึ้น เพราะมนุษย์เมืองส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง มีน้อยคนที่จะทำงานอยู่บ้าน หรือไม่ได้เดินทาง แต่เดิม เมื่อคิดถึงเรื่องการเดินทางสิ่งที่ถูกให้ความสำคัญก็คือ ประสิทธิภาพ (efficiency) ของการเดินทางที่มุ่งตอบโจทย์ว่า จะทำให้คนสามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งอย่างรวดเร็วได้อย่างไร รถยนต์ จึงถูกให้ความสำคัญมากกว่าการเดินเท้าหรือการใช้จักรยาน และหากจะขนคนให้มาก ๆ การเดินทางด้วยระบบขนส่งทางราง ที่บ้านเรามักเรียกกันว่า รถไฟฟ้า หรือระบบขนส่งรถไฟรางเบา […]