‘อาหารเชิงนิเวศ’ โอกาสสุดท้ายของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม
Reading Time: 2 minutesการบริโภคโปรตีนในทุกวันนี้กำลังกลืนกินความหลากหลาย ทำลายทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เราอาจจะต้องคิดถึงอาหารเชิงนิเวศเพิ่มขึ้นในวันที่โลกรวนและพลิกผัน
วีรพร นิติประภา
เวลาพูดถึงปัญหาการอ่าน ดูเหมือนผู้คนจะมุ่งไปแต่ที่คนไทยอ่านน้อย ซึ่งความจริงก็ไม่มากเท่าไหร่เลยเมื่อเทียบกับระดับการอ่านเฉลี่ยของมนุษย์ทั่วไปในโลก แต่กระนั้นก็ไม่ได้อ่านกันน้อยขนาดที่ชอบพูดกันว่าอ่านแค่ ’แปดบรรทัด’ ซึ่งก็อีก …ไม่ได้หมายถึงปริมาณบรรทัดอ่านอย่างที่เข้าใจกัน หากหมายถึงการอ่านแต่ข้อความที่คนโพสต์กันบนพื้นที่จำกัดจำเขี่ยของฟีดตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ มากกว่าอ่านหนังสือเล่ม หรือบทความจริงจังที่มีความยาวน้อยมากต่างหาก
เราอ่านไม่น้อย โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาวนักเรียนนักศึกษา แต่จำนวนนักอ่านก็ลดน้อยลงไปเมื่อถึงวัยทำงาน และน้อยมากในหมู่คนวัยกลางคนและชราที่เป็นกลุ่มชอบว่าว่าเด็ก ๆ ไม่อ่านนั่นแหละ และปัญหาไม่ได้อยู่แค่ปริมาณการอ่าน หากอยู่ที่หนังสือเล่มที่เป็นที่นิยมอ่านในหมู่คนอายุน้อย ๆ ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีการเขียนที่สมบูรณ์ หรือมีคุณภาพมากนัก
ตัวเรื่องมักเป็นโครงสร้างหลวม ๆ วางเส้นเรื่องเดี่ยว ไม่ซับซ้อน เน้นพล็อตแปลกประหลาด โลดโผน ตื่นเต้นเร้าใจเป็นหลัก วิธีการเล่าก็จะไปเทิ่ง ๆ เร็ว ๆ เป็นชุดเหตุการณ์วางต่อ ๆ กัน ไม่มีรายละเอียด ไม่มีบรรยายฉาก หรือลักษณะตัวละคร ซึ่งทำให้เรื่องค่อนข้างจะเลื่อนลอย ถ้าเป็นโลกจริงที่ไม่สมจริงมาก พอ ๆ กับตัวเหตุการณ์ก็เหนือจริงในที มีความบังเอิญที่น่าตื่นใจ ตัวละครไร้บุคลิก ไม่ชัดเจนและสามารถเป็นใครก็ได้ ภาษาที่ใช้เขียนส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษาพูด ไม่พิถีพิถันในการเลือกใช้คำ รูปประโยคไม่ประณีต เขียนเร็ว ๆ ลวก ๆ ไม่มีความสละสลวย …พูดง่าย ๆ คือไม่เน้นวรรณรสและอรรถรส หรืออารมณ์ความรู้สึก อ่านง่าย อ่านผ่าน ๆ ก็รู้เรื่องได้ ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกตาม หรือคิดตาม

เมื่อตั้งใจมาเพื่อให้อ่านสนุก ไม่ได้ต้องการสร้างความรับรู้และเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด การสาธยายรายละเอียดต่าง ๆ วางเล่ห์เพทุบายค่ายกลให้เรื่องค่อย ๆ เปิดเผยทีละชั้น ชั้นเชิงหักมุมต่าง ๆ ก็ไม่มีความจำเป็นไปโดยปริยาย รวมทั้งการเลือกใช้ศัพท์ก็คับแคบลง จะให้อ่านได้จบเร็วก็ต้องเขียนเร็ว ๆ จะให้อ่านง่ายก็ต้องเขียนง่าย ๆ …ความเร็วและง่ายเกินไปนี้เองที่เป็นปัญหา
คลังศัพท์ที่แคบทำให้การอ่านคับแคบตาม ศัพท์ธรรมดา ๆ ที่เคยใช้ ๆ กันเป็นปกติกลายเป็นศัพท์ยากและอ่านไม่เข้าใจ เมื่ออ่านไม่เข้าใจก็พาลไม่อ่านและอ่านแต่งานแบบเดียว พลาดโอกาสที่จะได้อิ่มเอมในวรรณรสและอรรถรส พลาดโอกาสได้ซาบซึ้งกับความรุ่มรวยทางภาษา เข้าถึงเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น และมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร ซึ่งเป็นกุญแจในการเข้าใจในความเป็นมนุษย์ และยังนำมาซึ่งความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ที่สำคัญ…สร้างเสริมความเข้มแข็งให้ผู้อ่านเองในการรับมือกับความเป็นไปของโลกและความยากลำบากของการมีชีวิตอยู่




การอ่านเรื่องที่เข้าใจง่าย ๆ และมุ่งเน้นที่ความแปลกกับสนุกแต่ถ่ายเดียวยังทำให้ผู้อ่านไม่ได้’คิด’ระหว่างอ่าน ทำให้ขาดทักษะในการทำความเข้าใจความซับซ้อนของโลกที่รังแต่จะซับซ้อนขึ้นทุกวัน พอมาอ่านหนังสือที่มีความลึกหรือมีข้อมูลให้ต้องประมวลหลายชั้นก็จะอ่านไม่เข้าใจ อีกเรื่องที่เป็นปัญหาที่หนักหนาที่สุดแต่คนไม่ค่อยพูดถึงก็คือคนรุ่นใหม่ขาดแคลนคำ ไม่มีคำศัพท์มากพอจะใช้บอกเล่าหรืออธิบายความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง …และนี่เองที่ทำให้คนอายุน้อย ๆ กลายเป็นคนเข้าใจยาก และมีช่องว่างทั้งในหมู่คนอายุน้อย ๆ ด้วยกันเอง กับครอบครัว กับเพื่อนที่โรงเรียนและที่ทำงาน …โลกทั้งบาน
…การมีคลังศัพท์น้อยทำให้คนหนวก ใบ้ และติดตายอยู่แต่ข้างในตัวเอง

แต่ในโลกที่การสื่อสารได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของยุคสมัย การอ่านน้อย อ่านแต่ข้อความที่ใช้ศัพท์น้อย อ่านโดยไม่ใช้สมองคิดตาม และไม่ใช้หัวใจรู้สึกจึงไม่ใด้เป็นปัญหาแค่เรื่องการอ่านเพลิดเพลินเจริญใจประเทืองปัญญาเท่านั้น หากแต่เป็นปัญหาใหญ่ในการขับเคลื่อนทั้งทางธุรกิจ การเมือง และสังคม ไม่เพียงแต่เราจำเป็นต้องมีคลังศัพท์ใหญ่ เพื่อสื่อสารให้ได้ตรงจุด ไม่คลุมเครือ เรายังจำเป็นต้องมีความสามารถในการเรียบเรียงรูปประโยค มีทักษะในการพูดเขียนเรียบลื่นให้ฟังและอ่านจนจบ สามารถจัดอันดับความสำคัญก่อนหลัง มีจังหวะจะโคน ลูกเล่น การเน้นย้ำ ใช้คำสละสลวยกินใจ มีน้ำเสียงชวนอ่านชวนฟัง สามารถสร้างความเข้าใจ โน้มน้าวให้คล้อยตาม หลีกเลี่ยงความกำกวมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งปวง
และทักษะเหล่านี้ของประชากรของเราก็อ่อนด้อยอย่างน่าตกใจ
ความอ่อนด้อยในการสื่อสารของประเทศปรากฏให้เห็นชัดเจนในการปราศรัย ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามนักข่าว กระทั่งพบปะพูดคุยกับประชาชนของนายกรัฐมนตรีเกือบทุกคนที่ผ่านมาในช่วงหลัง ๆ รวมทั้งรัฐมนตรีต่าง ๆ บิ๊กทหารต่าง ๆ นักการเมืองต่าง ๆ ไปยันนักธุรกิจพ่อค้าต่าง ๆ ที่แย่กว่าแย่คือกระพร่องกระแพร่งแหว่งวิ่นของการสื่อสารยังชัดเจนในการอ่านข่าวและฟีดข่าวของสื่อสำนักต่าง ๆ ในกระทู้กับความเห็นของคนทั่วไปในฟีด รวมถึงงานเขียนของบางนักเขียนซึ่งควรที่จะมีทักษะการใช้ภาษาดีกว่าคนทั่ว ๆ ไป ทำให้ไม่มีตัวอย่างการใช้ภาษาที่ดีในชีวิตประจำวัน
…ตายตกตามกันไปเป็นทอด ๆ
การอ่านที่ไม่เข้มแข็งนี่มันมาจากไหนแต่ต้น แน่นอนว่าหนีไม่พ้นต้องโทษการเรียนการสอนโดยเฉพาะในเด็กประถมวัย ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่าไม่ดีพอในเกือบทุกด้าน เมื่อไปดูหนังสือเรียนที่ให้เด็ก ๆ อ่านกันในโรงเรียนก็จะพบว่าเป็นหนังสือเรียนเขียนมาทั้งวกวน ทั้งน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ เต็มไปด้วยข้อมูลไม่สำคัญ ล้าสมัย ตรรกะพังอีกต่างหาก ซึ่งนอกจากไม่สร้างความเข้าใจ ไม่สนุก ปกหนังสือก็น่าเกลียดมาก ไม่สร้างความรักในการอ่านไม่พอยังบั่นทอนการอ่านให้เป็นเรื่องทุกข์ทรมานไปอีก
ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้รับการฝึกให้มีทักษะทางจิตวิทยา ทั้งดุ ทั้งขู่ ทั้งบังคับให้เด็กเรียน ลงโทษถ้าเด็ก ๆ ไม่สนใจ ไม่ทำตามคำสั่ง ทำให้ห้องเรียนกลายเป็นเหมือนสถานกักกัน และการเรียนรู้เป็นการลงโทษ ไม่มีความพยายามที่จะทำให้การเรียนเป็นสิ่งน่าสนใจและสนุก ไม่จูงใจให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการหาคำตอบ ไม่กระตุ้นให้ใช้สมอง พอสมองไม่ได้ใช้ก็ง่วงและเบื่อ พอเบื่อก็อยากทำอย่างอื่นที่สนุกกว่าอย่างกินขนม เล่น คุยกันเองไป …ก็เท่านั้น
ที่ประหลาดมหัศจรรย์ก็คือเยาวชนของเราไม่มีความใฝ่รู้ หรือพูดให้ถูกคือสูญเสียความใฝ่รู้ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เมื่ออยากรู้ก็เป็นธรรมดาที่เด็ก ๆ จะถาม แต่คำตอบที่ได้ที่บ้านหรือจากครอบครัวในหลาย ๆ เรื่องกลับเป็นการตอบส่งเดช ให้ข้อมูลเป็นเท็จโดยไม่รู้จริง หรือบางทีพ่อแม่เหน็ดเหนื่อยจากทำงานมาก็บอกปัดปิดบทสนทนา แทนที่จะพยายามอธิบายที่เด็ก ๆ สามารถเข้าใจได้แบบเด็ก ๆ ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเก่งและฉลาดเมื่อได้รู้อะไรเพิ่มหรือรู้มากกว่าเพื่อน ๆ ไปโรงเรียนบางทีครูซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้โดยตรงเมื่อไม่มีความรู้ในเรื่องที่ถูกถามก็ตอบเลี่ยงเอาอีกเหมือนกัน เขาให้เชื่อก็เชื่อตามนั้น เรียน ๆ ไปเดี๋ยวก็จะรู้เอง
…ความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นที่มาของความใฝ่รู้จึงแห้งเหือดหาย
หลายครั้งเรายังเห็นคนรุ่นใหม่ถึงกับออกมาประนามงานเขียนที่มีศัพท์ที่เขาไม่รู้จัก อย่างเช่น กอรป รกชัฏ ซึ่งเป็นศัพท์ทั่ว ๆ ไปแม้จะใช้ไม่บ่อย ในขณะที่ยุคอินเทอร์เน็ตการหาความหมายของคำเป็นเรื่องที่ง่ายแค่คลิ๊กเดียว แต่ตั้งแต่ครั้งโลกยังไม่มีอินเทอร์เน็ต เราก็เป็นประเทศที่ไม่เห็นคนพกพจนานุกรมติดตัวหรือมีติดบ้าน ราวกับคนสามารถรู้ศัพท์นับล้าน ๆ ได้จากชีวิตประจำวัน เราไม่กระทั่งสอนในโรงเรียนว่าจะใช้พจนานุกรมให้ง่ายและเร็วได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่นั่นคือการกระตุ้นให้คนแสวงหาความรู้ และเข้าใจเองว่าการรู้คำใหม่ คือการได้รู้เรื่องใหม่ ๆ และสร้างความคิดใหม่ ๆ
พอเราไม่มีทัศนะการเรียนรู้ที่ดี เราก็ไม่สนใจเซิร์ชหาความหมายของคำเราไม่รู้ แต่พอไม่รู้ก็กลับจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ฉลาด และกลบเกลื่อนความไม่ฉลาดกับไม่ยอมให้โอกาสตัวเองฉลาดด้วยการตัดสิน …อย่างรวดเร็ว ว่างานที่มีศัพท์ไม่รู้และเราไม่มีปัญญาเข้าใจนั้นเป็นงานเขียนไม่ดี เร็ว ๆ นี้มีพาดหัวข่าวในโซเซียลมีเดียว่า ”เด็กชายโดนไฟฟ้าช็อกดับ” แล้วก็มีผู้อ่านมาคอมเมนต์ว่าสำนักข่าวเขียนผิด จากนั้นก็มีคนออกมาต่อว่าว่าเขียนผิดตาม ๆ กัน โดยไม่มีใครออกมาแก้ ไม่มีใครสนใจตรวจสอบ หรือเซิร์ชหาความรู้ว่า ถูกหรือผิด ทั้งที่ในความจริงสำนักข่าวที่ว่าเป็นที่เดียวที่เขียนถูก …เราใช้ไฟช็อกเมื่อไฟฟ้าผ่านร่าง และใช้ไฟชอร์ตเมื่อไฟฟ้าลัดวงจร
ที่แย่สำทับลงไปอีกก็คือหลาย ๆ เรื่องที่สอน ๆ กันอยู่ในโรงเรียนหารู้ได้จากอินเทอร์เน็ต ซึ่งให้ข้อมูลชัดเจนและละเอียดละออครบถ้วนกว่าด้วย การให้ข้อมูลและการท่องจำไม่ได้มีความสำคัญอีกแล้วในยุคสมัยใหม่ การจัดการข้อมูลและการใช้ข้อมูลสร้างความเข้าใจ และเชื่อมโยงองค์ความรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกันต่างหากที่สำคัญ การประมวลข้อมูลอย่างเป็นระบบต่างหากที่สำคัญ การสอนให้คิด วิเคราะห์ แยกแยะที่เราไม่ยอมสอนเด็ก ๆ นั่นต่างหากที่สำคัญ และทำให้การเรียนเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ
เด็ก ๆ จะไม่เบื่อระอาเลยถ้าสมองได้ถูกใช้ระหว่างเรียน และเช่นเดียวกับกล้ามเนื้อ พอเราปล่อยให้สมองไม่ถูกใช้มันก็จะลีบฝ่อ ยิ่งเล็กหดหลวมกระโหลกก็ยิ่งคิดได้น้อย วนไปอีก อย่างที่บอกในตอนต้น…เด็ก ๆ อ่านเยอะ แต่เขาเลือกอ่านเรื่องง่าย ๆ สนุกสนาน เร้าใจ ไม่มีคำถามให้ขบคิด เขาชอบอ่านเรื่องแปลกใหม่ไม่น่าเบื่อ แปลว่าถ้าเราทำให้การสอนวิชาความรู้เป็นเรื่องสนุกสนานไม่น่าเบื่อ เขาก็ย่อมจะสนใจเรียนรู้อยู่เอง
ทุกอย่างเชื่อมโยงและปัญหาก็ไล่ลามจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องจนกลายเป็นทุกเรื่อง การจะแก้ปัญหาจึงต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น …ต้องสังคายนาระบบการศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะทัศนคติของการสอนและการเรียนรู้ เราจำเป็นต้องมุ่งเน้นผลักดันให้เด็ก ๆ ของเราคิดได้ คิดเป็น และเรียนรู้เองได้
เรื่องนี้ก็พูดกันมามากมายยาวนาน แต่ผลสุดท้ายก็ยังอยู่อย่างเก่า